savestock

savestock

Wednesday, February 26, 2014

ต้องแยกให้ออกระหว่าง'ความเสี่ยง'กับ'ความผันผวน'


"วิธีการใดเสี่ยงกว่า ระหว่าง หนึ่ง คนที่เก็งกำไรหุ้น(เงินร้อน ซื้อขายทำกำไรให้เร็วที่สุด ..เพื่อกำไรจากการจับเสือมือเปล่า) กับ วิธีที่สอง คนที่เป็นเจ้าของหุ้น (เงินเย็น ออมในหุ้น ไม่ขาย รับแต่ปันผลไปเรื่อยๆ เหมือนเจ้าของ) ...ตอบตรงๆ คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่าง 'ความเสี่ยง' กับ 'ความผันผวน' ...เลยเหมารวมว่า ความผันผวนก็คือความเสี่ยง ดังนั้น ก็เห็นที่มาว่าทำไมคนส่วนใหญ่ ถือหุ้นแบบออมในหุ้นเหมือนเจ้าของไม่ได้ ทั้งที่สุดท้ายคนที่รวยที่สุดจากตลาดก็คือ เจ้าของที่เขาไม่ได้ขายหุ้น ดูอย่างตระกูลที่รวยๆในประเทศไทย อย่าง CP , เบียร์ช้าง , เซ็นทรัล ก็ล้วนรวยจากการถือหุ้นแล้วไม่ขาย คือ เขาออมในหุ้นทั้งนั้น -- สรุปง่ายๆ เลย ว่าคนที่อยากรวยบ้างก็คือ ซื้อหุ้นปันผลอย่างเดียวไม่ขาย ไม่สนการแกว่งของราคาหรือความผันผวน ..อันนี้แหละรวยสุด รวยแบบนั่งกระดิกเท้า ในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, February 24, 2014

สิ่งที่เกิดปี 2008 มันจะเกิดอีกครั้ง !!


"คนทุกคนกลัววิกฤตเศรษฐกิจเพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดขึ้นแล้วทุก Asset ที่ถืออยู่โดยเฉพาะหุ้น จะเจ๊ง !! ..จริงเหรอ ? ..ก่อนจะตอบโจทย์ตรงนั้นคุณทราบไหมว่า วิกฤตเศรษฐกิจอย่างปี 2008 ว่ามันเกิดจากอะไรจะได้รู้เมื่อไหร่จะเกิดอีกและเพราะอะไร ? ...ครับ!! วิกฤตเศรษฐกิจอย่างปี 2008 เกิดจากธนาคารและสถาบันการเงินสร้างหนี้เกินตัว เนื่องจากโลภ ..ตัวที่จุดชนวนการพังของตลาดปี 2008 ก็คือ Lehman Brother หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่สร้างหนี้ถึง 33 เท่าของเงินที่มี คิดดูละกันครับถ้าเป็นคนธรรมดามีหนี้ 1 เท่าก็ท่วมหัว โดนฟ้องล้มละลายไปแล้ว แต่นี่สร้างหนี้ 33 เท่า คือ เรียกได้ว่าถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิดจะทำให้ธนาคารขาดสภาพคล่องถึงขั้งเจ๊งได้ ..และในที่สุดปี 2008 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดเมื่อหนี้ Sub Prime เงินกู้บ้านของคนที่มีความเสี่ยงสูงเกิดปัญหาชำระหนี้ไม่ได้ ซึ่งชื่อมันก็บอกแล้วว่า Sub Prime คือ หนี้ที่ปล่อยให้คนที่เสี่ยงสูง เช่น ปล่อยให้คนตกงานซื้อบ้าน ปล่อยให้คนไม่มีรายได้ซื้อบ้าน (บ้าไหม?) ..นั่นแหละจุดเริ่มของทุกวิกฤต หนึ่ง เกิดจากความไม่ Make Sense เช่น กู้และปล่อยกู้เกินฐานะ ..สอง โลภทั้งคนให้กู้ และโลภทั้งคนกู้ -- สรุปทุกวิกฤตเจ๊งเพราะ 'ความโลภ + ไม่ Make Sense' นั่นเอง ..ดังนั้นเมื่อรู้แล้วลองหันมาดูวิธีการลงทุนของคุณ ถ้าหนึ่ง คุณหวังจะรวยเร็วจากการลงทุน แปลว่า คุณโลภแล้ว เพราะใครจะโง่ซื้อหุ้นหรือซื้ออสังหาที่แพงขึ้นตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่ Asset เหล่านี้ราคาขึ้นเร็วมากๆ ตอนตลาด bubble ยิ่งน่ากลัว เพราะมันแปลว่า คนส่วนใหญ่แห่ซื้อสินทรัพย์ที่ยอมจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ ในเวลารวดเร็ว(แต่คนส่วนใหญ่ก็แห่ซื้อขาย เสี่ยงดวงในเวลาตลาดบูมมีแต่ข่าวดีเสี่ยงมากอยู่ดี ..เพราะโลภไง!!) ..สอง ความไม่ Make Sense ถ้าคุณหวังได้กำไรจากหุ้นโดยไม่สนว่าปันผลเท่าไหร่ แปลว่าคุณหวังเก็งส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่าระหว่างที่คุณถือหุ้นเก็งกำไร จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแล้วทำให้ราคาหุ้นตกในเวลารวดเร็ว(ติดดอยระหว่างเก็งกำไร)..ตรงนี้ต่างจากคนที่ใช้เงินเย็นซื้อหุ้นที่มองปันผล เช่น ซื้อหุ้น 10 บาท ได้ปันผลปีละ 1 บาท ก็เสมือนว่าได้ 10 % ต่อปีโดยไม่ต้องสนใจการแกว่งของราคาหุ้นในระยะสั้นเลย เมื่อเวลาผ่านไปหุ้นก็ขึ้นอีกได้ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นเป็นกำไร อันนี้แหละ Make Sense และ ไม่โลภ -- ลองพิจารณาการลงทุนของคุณเองว่าเป็นอย่างไรครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, February 20, 2014

ตนเล่นของ ..ทองจะไปไหน !!


"ผลตอบแทบที่แท้จริงของที่ดินคืออะไร ?...ค่าเช่าไงครับ ..แต่คนส่วนใหญ่จะสนใจแต่ส่วนต่างราคาจนสุดท้ายก็ขายที่ดินได้กำไร แต่ไม่รวย ..ปัญหาของหลายๆคนที่มี Asset อย่างที่ดิน แต่ขายทีไรราคาพุ่งหลังขายทุกที แปลว่าถือตั้งนานไม่เดือดร้อน แต่พอราคาขึ้นก็เร่าร้อนไม่สามารถทนได้ ต้องรีบขาย ..คนที่เป็นแบบนี้การันตีได้ว่าไม่รวย เพราะเหตุผลตรงๆชัดๆเลย ก็คือ ทนรวยไม่เป็น (จะรวยได้ไง) ...คุณรู้ไหมวิธีแก้ของคนทนรวยไม่เป็นก็คือ ไม่ขายเลย ..คิดง่ายๆ ที่ดินยิ่งเวลาผ่านไปราคาย่อมเพิ่มขึ้น ดังนั้น คนที่ถือแล้วไม่ขายเลยก็จะรวยมากที่สุด -- หลายคนบอกว่าทนรอไม่ได้ มีวิธีแก้ไหม ? ..มีครับ ก็ให้เลิกดูการขึ้นลงของราคา แต่ให้มาสนใจเรื่องค่าเช่าจากที่ดินแทน ...แล้วถามต่อว่า มีอะไรได้ค่าเช่าง่ายกว่าที่ดิน ก็หุ้นเลย ..หุ้นได้ปันผลเหมือนค่าเช่า -- ดังนั้น การเอาเงินออมในหุ้นที่ปันผลสม่ำเสมอ ก็เกือบการันตีแล้วว่าคนๆนี้อนาคตจะสบาย ยิ่งถ้ารู้จักสร้าง Port ที่ให้ปันผลแบบ Passive Income ชีวิตก็ยิ่งสบายครับ" ...จัดไป !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, February 18, 2014

กระจกสะท้อนตัวคุณ ..บอกอนาคตแม่นกว่าหมอดู!!


"เพื่อน 5 คนที่ออมในหุ้น ...เคยได้ยินเรื่องเพื่อนสนิท 5 คนที่อยู่รอบๆเราไหม ..คุณรู้ไหมว่าในโลกจริงๆ เราทุกคนไม่เคยรู้หรอกว่าตัวเรามีนิสัยเป็นอย่างไร เพราะใครๆก็มองเข้าข้างคิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีทั้งนั้น ...แต่เอาจริงๆนะ หากคุณอยากเห็นตัวเอง ง่ายมาก คุณลองมองเพื่อนสนิท 5 คนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ..ใช่!! นั่นแหละกระจกสะท้อนตัวคุณ ...บางคนบอกทำไมเพื่อนรอบๆ ตัวมีแต่พวกชอบนินทาคนอื่น อิจฉาคนอื่น 'ก็เพราะตัวคุณเป็นนิสัยอย่างนั้นนั่นแหละ' ..คุณรู้ไหมคนไทยส่วนใหญ่ เป็นคนคิดลบ ชอบอิจฉาคนอื่น ชอบนินทาคนอื่น และเอาแต่บ่น ..มองตัวเองว่าฉันดีที่สุด ทุกคนเลวหมด ...คนเหล่านี้คือคนส่วนใหญ่ของประเทศที่คิดลบ ..แล้วไง ? -- การคิดลบเป็นปัญหาใหญ่เพราะคนคิดลบ จะไม่ใช่คนสร้างสรรค์เพราะเขาทำอย่างเดียวคือการบ่น ..ต่างกับคนคิดบวก ..จริงๆ คนคิดบวกก็บ่นเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่คนคิดบวกเขามี Solution ให้กับปัญหา 'มีวิธีแก้ให้กับปัญหาต่างๆ' ดังนั้น มันเป็นการคิดเพื่อต่อยอด หรือ คิดปรับปรุงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น(จะเรียกว่าคิดแบบผู้ประกอบการก็ได้) -- วิธีการเปลี่ยนตัวเองก็คือ ดูจากกระจกคือเพื่อนรอบๆตัวว่าเราเป็นคนคิดบวกหรือลบ ..ถ้าลบก็ค่อยๆถอยออกมา เปลี่ยนเพื่อนซะเถอะ ..ฟังดูโหดนะครับที่เราต้องเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนหากเราอยากเปลี่ยนตัวเอง ..ก็เพราะเราต้องกระจกที่ดี ที่สะท้อนและบันดาลใจซึ่งกันและกัน -- เพื่อนดีน่ะสำคัญมากจริงๆครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, February 17, 2014

ข้อสอบสิบปีของชีวิต ..ผ่านได้ก็ไปรอด !!


"เงินก้อนเหนื่อย !! ..นี่คือหนึ่งในปัญหาของคนไทย คือ หาเงินเป็น แต่วางเงินให้มันทำงานไม่เป็น ..ก็เหนื่อยชั่วชีวิตซิครับ เพราะ ถ้าเล่นหาเป็นอย่างเดียว วันนึงเงินที่หาก็ต้องหมด เพราะลองนับอายุคนซิครับ เดี๋ยวนี้กว่าจะเรียนจบก็ปาเข้าไป 25 แล้ว ถ้าจะต่อปริญญาโทก็ไปนุ่น 26-27 ..พอเริ่มทำงานก็เงินเดือนหมื่นกว่าๆ ..เอาจริงๆ เถอะถ้าเก็บออมจากเงินเดือนยังไงก็ไม่พอ ชีวิตก็ตายช้า จะเก็บเงินก้อนพอได้ไง ? ..ไม่พอก็ต้องสร้างหนี้ ..พอสร้างหนี้ก็ตามมาด้วยปัญหาทะเลาะกันเรื่องเงินในครอบครัว ..ยิ่งเครียดผู้ชายยิ่งอยากไปอาบน้ำนอกบ้าน แล้วรูดบัตรเครดิต ส่วนภรรยาก็แก้เครียดเรื่องเงินด้วยการไป Shopping แก้เครียด ..ก็รูดบัตรเครดิต เพิ่มหนี้มันเข้าไป ...สถิติบอกหนี้สินนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้ขนาดทำงานทั้งสามี ภรรยา ยังไม่พอกินเลย ..คิดง่ายๆ นะถ้ามีคนมาเสนอให้สินบน ให้คอรัปชั่น เอาไหม ? ..เอาดิครับ เพราะมันเป็นเหมือนน้ำเลี้ยงจากสวรรค์ (จริงๆมันคือนรก) ..นั่นดิ แล้วจะแก้คอรัปชั่นยังไง ...นี่ไม่พอนะ พอพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องเงิน ลูกก็เซ็งไม่อยากกลับบ้าน ไปเป็นเด็กแว้นดีกว่า ...สังคมมันไม่มีที่ยืนให้เขา เขาก็ต้องเรียกร้องความสนใจ ก่อปัญหาแบบที่เห็น ..ถามจริงๆ ที่เล่ามาปัญหานี้คุณโทษใคร ? ...อ๋อ โทษใครก็ได้ครับ ที่ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันถูกหมดทุกอย่าง -- จริงเหรอครับ ? ...บอกตรงๆ นะถ้าวันนี้ชีวิตเรามีปัญหา ลองหันมาโทษตัวเองซิครับ แล้วเราจะเริ่มฉลาดขึ้น ..เราจะรู้ว่าทุกปัญหาเราสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด ...วิธีแก้ ก็กลับมาที่จุดเริ่มต้น ก็คือวันแรกที่รับเงินเดือน  -- "กฏเหล็ก 10 ปีสู่ชีวิตที่สร้างเอง" -- คือ 10 ปีแรกของชีวิต ต้องฝึกวินัยตัวเองให้รายได้ มากกว่า รายจ่าย จากนั้นเอาเงินที่เหลือไปลงทุน เช่น ออมในหุ้น เก็บหุ้นปันผลไปเรื่อยๆ ...ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ..สิ่งของที่อยากได้ เช่น รถยนต์ บ้าน ต้องเลื่อนไปซื้อเมื่อพร้อม ...วันที่เราพร้อมจะสร้างหนี้ ก็คือ วันที่เรามีเงินจะจ่ายหนี้ เช่น ถ้าคุณสร้าง Port การลงทุนจนมี Passive Income ก็นั่นแหละเงินที่พร้อมใช้ได้ ...ครับ!! โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย คนจะรวยหรือดูแลตัวเองได้ก็ต้องบริหารเงินเป็นและมีความอดทน" ...แค่นั้นเอง ทำได้ไหมล่ะครับ ? (ยาก แต่คนที่ทำได้ เขาก็ยกระดับชีวิตตัวเองได้)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, February 13, 2014

กำแพงที่กั้นขวาง แม้กระทั่งคนเก่งก็ไม่ให้ผ่าน !!


"ผมมีลูกค้าที่เป็นหมอหลายท่านมาถามในคำถามที่น่าสนใจมาก อยากเล่าให้ฟังครับ ..คือ คุณหมอมาปรึกษาผมว่า เขาหาเงินทั้งทำโรงพยาบาล และก็ทำคลินิกส่วนตัว แบบว่าทำเต็มที่แล้ว ได้เงินประมาณเดือนละ 3 แสน คือ Limit สุดแล้ว ...โอวว !! หมอครับ ฮึม !! โคตรเยอะเลยครับพี่ เข้า Ranking น่าจะสูงแบบ CEO บริษัทชั้นนำในประเทศไทยแล้วนะครับ ...เออ ว่าแต่พี่หมอมีลูกสาวไหมครับ (ฮ่า..ฮ่า ล้อเล่น) -- เข้าประเด็นดีกว่า ผมเข้าใจว่าพี่หมอต้องการถามอะไร คือ พี่หมออยากจะรู้ว่าเขาหาสุดก็เยอะขนาดนี้แต่ทำไมไม่รวยและไม่สบายเหมือนหลายๆคนที่อาจจะทำเงินต่อเดือนน้อยกว่านั้น ..ฮึม!! ดูพี่หมอตาคล้ำนะครับ ให้ผมเดานะ พี่หมอติดหุ้นเยอะเลยใช่ไหมครับพี่ -- 'เฮ้ย!! รู้ไดไงฟระ' -- ครับ ประเด็นจริงๆ ของการสร้างความมั่งคั่งแบบยั่งยืนของคนแต่ละคน ไม่สำคัญว่าเขาจะมีอาชีพไหนหรือเงินเดือนเท่าไหร่ (แต่แน่นอน อาชีพเงินเดือนสูงย่อมได้เปรียบนิดหน่อย ..แต่ส่วนใหญ่คนเงินเดือนสูง เขาสร้างหนี้สูงขึ้นไปอีก) ..ที่สำคัญคือ พอได้เงินเดือนมาหักค่าใช้จ่าย หักหนี้หักทั้งหมดแล้ว มีเงินเหลือเท่าไหร่ และที่วัดความแตกต่างจริงๆก็คือหลังจากนั้นขึ้นกับว่าเอาเงินออมนี้ไปสร้างให้มันเติบโตอย่างไร ..ถ้าฝากธนาคารเฉยๆ หรือ ซื้อพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยต่ำ พวกนี้เงินไม่มีทางโต เพราะเราวางในที่แพ้เงินเฟ้อที่แท้จริง -- ทางที่จะให้มันโตก็ต้องวางใน Asset เช่น ที่ดิน , ทอง , หุ้น ..แต่ปัญหาก็มีเช่น ที่ดินก็แพง , ทองเวลานี้ก็กำลังลง และหุ้นก็เล่นยาก เข้าทีไร ดอยมันทุกรอบ ...นั่นไงครับ!! ที่พี่พูดมันตรงชีวิตของแมงเม่าในตลาดหุ้นส่วนใหญ่เลยครับ คือ เขามองตลาดหุ้นว่าน่ากลัว เวลารอบการขึ้นมาก็ยังกล้าๆกลัวๆไม่เข้า มัวแต่นั่งรอให้ข่าวร้ายต่างๆในตลาดผ่านไปให้หมด จากนั้นพอเริ่มมั่นใจเข้าซื้อ ทุกข่าวในตลาดมีแต่ข่าวดีๆ เราซื้อปั๊บ ดอย!! ติดดอยของทุกๆรอบที่เข้า เสมือนมันเขียนโปรแกรมใส่ไว้ที่หน้าผากเราเลยว่า ถ้าฉันซื้อวันไหนตัวไหน จะติดดอยทันที ..โคตรเซ็ง !!!! -- พี่ครับวิธีง่ายสุดเลยนะ สำหรับคนที่พอมีรายได้มากกว่าจ่าย (พยายามลดหนี้ ลดจ่าย) ให้ออมในหุ้น คือเลือกหุ้นตามพื้นฐาน ไม่ตามตลาด แปลว่าหุ้นที่เราซื้อมาออมมักอยู่ในช่วงที่ตลาดเขาไม่เล่นหุ้นกลุ่มเรา อย่างเช่นปี 2011 คนเขาเล่นค้าปลีกกัน เราก็มาซื้อออมตัวที่คนส่วนใหญ่มองว่าไม่ดีเช่นกลุ่มมือถือ ..หรืออย่างปี 2014 ปีนี้ตลาดแย่เราก็มาดูตัวที่ไม่แพง แล้วบริษัทยังแข็ง แถมให้ปันผล และคนส่วนใหญ่ไม่เล่น เช่น กลุ่ม PTT ...พูดง่ายๆว่า เราซื้อออมหุ้นมีหลักการคือ ซื้อหุ้นดีในเวลาที่บริษัทนั้นๆเกิดวิกฤต ก็จะทำให้เราได้เฉลี่ยซื้อในเวลาที่หุ้นถูก (ประเด็นไม่ใช่ต้องซื้อถูกที่สุด เพราะมันไม่มี แต่ถ้าเฉลี่ยซื้อเวลาวิกฤตมา ก็ถือเฉลี่ยซื้อได้ถูกแบบว่าสุดยอดแล้ว) ...ให้ดู รอบ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพราะโดยมาก รอบ ของตลาด กับตัวที่เราน่าซื้อออมมันคนละรอบ ดังนั้นต้องดูดีๆครับ ...ข้อสรุปคือพี่หมอต้องลงทุนเพิ่มแบบถูกวิธี เพราะคุณหมอไม่มีเวลา ดังนั้น ถ้าจะ Trading ซื้อขายเก็งกำไรผมฟันธงว่า ไม่น่าจะ Work ..ทางแก้ก็คือ ทำงานตัวเองให้ดีหาเงิน แล้วเอาเงินเก็บมาออมในหุ้น (ซื้อหุ้นปันผลดี ในรอบที่ราคาถูก แล้วไม่ขาย ปล่อยให้มันทำเงินปันผลให้เราชั่วชีวิต) -- แต่นี้รับรอง เลิกติดหุ้นปั่น แต่กลับมาติดหุ้นปันผลดี ติดไปตลอดชีวิต ให้มันสร้าง Passive Income ให้เรา ในขณะที่เราก็หา Active Income มาเติม Port ออมในหุ้นไปเรื่อยๆ ...รวยชัวร์ แค่อดทนหน่อย ..เอาใจช่วยครับ -- บอกตรงๆ วิธีการนี้ใช้ได้ทุกอาชีพและดีจริงๆในระยะยาว ..จัดไปครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, February 12, 2014

นายหน้า กับ เจ้าของ ใครรวยกว่ากัน ?


"Landlord (เจ้าของที่ดิน) กับ Broker (นายหน้า) ตกลงใครรวยกว่ากัน ? ...ประเด็นนี้น่าสงสัยว่า คนนึงซื้อๆขายๆ รู้ข่าววงนอกวงใน เพราะเป็นคนกลางระหว่าง เจ้าของกับลูกค้า เทียบกับเจ้าของที่ดิน ที่วันๆก็ไม่ได้มาสนใจว่ามูลค่าที่ดินของตัวเองจะมีราคาเท่าไหร่ ไม่ได้สนว่าที่ดินข้างๆหรือใครจะซื้อจะขายกันเมื่อไหร่ ..ใช่!! คือผมอยากให้คุณนึกภาพเปรียบเทียบระหว่างคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการซื้อขาย เทียบกับคนที่เป็นเจ้าของที่รู้อย่างเดียวคือรู้ว่าที่ดินของฉันมีค่าเพียงใด ...เมื่อเวลาผ่านไปคุณเชื่อไหมว่า เจ้าของ (Landlord) รวยกว่า Broker ..แปลกไหม!! ..นี่เป็นเหตุผลที่ว่าคนที่รวยและมีอำนาจมากที่สุดในสังคมจะเลือกที่จะเป็น Landlord เพราะไม่ว่าสังคมจะเจริญไปแค่ไหน -- Asset หรือทรัพย์สินทุกอย่างในประเทศก็จะสูงขึ้นหมด ..ด้วยการที่ทุกอย่างเพิ่มก็หมายความว่าใครก็ตามที่ถือครอง Asset มากกว่า ย่อมรวยกว่า และย่อมรวยมากกว่าคนที่ซื้อๆขายๆที่ได้กำไรเพียงส่วนต่างและมักมีต้นทุนการซื้อสูงขึ้นเรื่อยๆเวลาตลาดเติบโต คือสุดท้ายซื้อๆขายๆ แต่พอขายแล้วได้กำไร ครั้นพอกลับมาซื้ออีกครั้งก็ต้องซื้อแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ...ใช่ !! Landlord ย่อมรวยที่สุดในระบบทุนนิยม แต่ปัจจุบัน เมื่อระบบทุนสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ ...Landlord ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ บริษัทในตลาดหุ้น ที่สามารถซื้อที่ดิน และถือครอง Asset ในจังหวะเวลาที่ดีกว่าคนธรรมดา เพราะบริษัทก็คือ องค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ 2 เป้าหมาย คือ หนึ่ง สร้างกำไรให้เจ้าของ และ สอง สะสม Asset ให้เจ้าของ -- ดังนั้นในระบบทุนปัจจุบันการถือครองหุ้น หรือ การออมในหุ้นที่คุณเป็นส่วนนึงของเจ้าชองบริษัท ก็เท่ากับว่า คุณคือ Landlord ยุคใหม่ ...ครับ!! ออมในหุ้นทำให้คนตัวเล็กๆอย่างคุณและผม มีโอกาสเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผูกขาดตลาดซึ่งเป็น Landlord ตัวจริงในยุคนี้ -- ใช่!! ครับ มันใหญ่แค่ไหน ผมและคุณก็ออมในหุ้นเป็นเจ้าของมันได้ ..แจ๋วไหมล่ะครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, February 11, 2014

หุ้นร้อนๆ และอาหารสำเร็จรูปในตลาดหุ้น มักจะห่วยเสมอ!!


"Menu แดกด่วนในการออมในหุ้น ..มันมักไม่แม่น ..ครับ!! การหาหุ้นแนวออมในหุ้นเราต้องเลือกเอง เพราะหุ้นแต่ละตัวที่จะถือแล้วห้ามขายมันหมายความว่า คุณจะต้องอยู่กับการถือหุ้นนั้นไปตลอดเสมือนกับมีลูกยังไงยังงั้น ...คำแนะนำของผมถือ พยายามเลือกหุ้นเอง แล้วเรียนรู้กับทางเลือกของตัวเอง ..Process การเรียนรู้ ตั้งแต่การศึกษา การเลือก และการถือจนมองดู Cycle การขึ้นลง ระหว่างรอการเติบโตของหุ้นตัวนั้น -- นี่แหละที่จะเป็น การเติบโตทางความคิดและการเรียนรู้ของตัวเราเองในแนวทางออมในหุ้น ..โอเค ก็ค่อยๆศึกษาต่อไปนะครับ ...ทุกเส้นทางต้องอาศัยเวลาและความอดทนกว่าที่เราจะไปถึงจุดหมาย ..ลุยครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Friday, February 7, 2014

สแตมป์เซเว่น และ เงินตราอนาคต แห่งอาณาจักรวานร !!


"คุณจะไม่สามารถเป็นนักลงทุนที่รวย หากไม่รู้จักว่าอะไรคือเงินจริงๆ -- คุณรู้จักความหมายของเงินจริงๆ แค่ไหน ..คุณรู้ไหมว่าสแตมป์ 7-11 ก็ถือว่าเป็นเงินชนิดหนึ่ง !! ...โอเค เงิน หรือ Money คือ สื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ซึ่งหน้าที่ Money ควรรักษามูลค่าของมันได้ไม่ว่าจะเก็บไว้นานเท่าไหร่ ในสมัยก่อนจึงใช้ ทองคำ แทน Money ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เพราะทองคำมีจำนวนจำกัด และทุกคนให้ค่าในทองคำ ..ต่อมาเงินกระดาษ Paper Money ถูกสร้างขึ้นมาใช้แทนทองเพราะสะดวกในการใช้มากกว่า โดยสมัยนั้นกำหนดว่า เงินกระดาษที่พิมพ์ออกมาต้องมีทองคำค้ำประกัน (Paper Money ในเวลานั้น จึงมีทองคำเป็นเครื่องการันตีมูลค่า) ..แต่หลังจากปี 1971 ประธานาธิปดี Nixon ได้ยกเลิก Gold Standard โดยเลิกการใช้ทองคำประกัน Paper Money มาใช้ 'หนี้'ของรัฐบาลอเมริกาเป็นตัวค้ำประกันมูลค่าแทนทองคำ ..ปัญหาคือ หนี้ที่ค้ำประกันมูลค่าเงินตั้งแต่ปี 1971 ของอเมริกามันโตขึ้นเรื่อยๆ จากประเทศอเมริกาที่เคยเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก วันนี้เปลี่ยนมาเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก เทียบตัวเลขง่ายๆ คือ วันนี้หนี้อเมริกาสูงกว่า 100% ของ GDP ซึ่งก็คือ อเมริกาเป็นหนี้เกินกว่าเท่าตัวของรายได้ของทุกคนในประเทศรวมกัน ..ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็เรียกว่า ใกล้จะล้มละลายเต็มทีแล้ว!! -- ผลที่ตามมาคือ เงิน มันเปลี่ยนสถานะจาก Money มาเป็น Currency เนื่องจากพอเปลี่ยนจากของที่มีอย่างจำกัดเช่นทองมาค้ำประกัน มาเป็นหนี้ที่ไม่จำกัด ก็ทำให้เงินมันถูกพิมพ์ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจนเงินเฟ้อมหาศาลอย่างที่เป็นอยู่ ...ดังนั้น ไม่แปลกที่ Curreny ซึ่งก็คือเงินกระดาษและเงินตัวเลขที่เราใช้ๆกันอยู่นี่จะลดมูลค่าในอัตราเร่ง ประกอบกับนโยบาย QE ในปี 2008 ที่อเมริกาพิมพ์เงินจำนวนมโหราฬอัดเข้าระบบการเงิน ก็การันตี เงินเฟ้อ และ การเพิ่มขึ้นอย่างสุดขีดของค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย รวมทั้งราคา Asset ทุกๆอย่างในโลกที่ราคาจะขึ้นอย่างน่าตกใจ -- ผลคือ คนรวยที่ถือครอง Asset ต่างๆ เช่น ที่ดิน , หุ้น , ทองคำ จะรวยขึ้น ๆ ..แต่คนจนที่มีแต่เงิน Currency ฝากธนาคาร จะมีแต่มูลค่าลดซวยขึ้นและจนลงทุกวัน ...ใช่ !! ทางเลือกหนึ่งของคนชั้นกลางที่อยากจะรักษามูลค่าของเงินเก็บที่หามาได้ ก็คือ การออมเงินใน Asset ..อย่างที่ผมย้ำมาตลอดก็คือ การออมในหุ้นปันผล ก็คือ ทางเลือกที่ไม่น่ามองข้ามครับ" ...ครับ ผมจะชี้ให้เห็นว่า เงิน ในยุคต่อไป ก็คือ Asset อย่างหุ้น เพราะสภาพคล่องสูง จำนวนจำกัด มีมูลค่าในตัวของมันเอง มีคนต้องการ แถมมีปันผล แล้วยิ่งเก็บราคายิ่งเพิ่ม ...ข้อเสียข้อเดียวของหุ้นดีปันผลสูง ก็คือ ราคามันแกว่ง -- การออมในหุ้นก็คือ การมองผ่านการแกว่งของราคา ไปดูที่ปันผลที่เพิ่มขึ้นและได้รับต่อเนื่องทุกปี ...แถมสุดท้ายมูลค่าก็มีแต่เพิ่มเพราะเคล็ดลับที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือราคาหุ้นดีในระยะยาวมันโตเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ..โตเกินจินตนาการ ก็คือ แปลว่าใครที่ออมหุ้นเป็นก็จะรวยเกินจินตนาการหากถือผ่านความผันผวนได้นั่นเอง" ...นี่แหละที่เขาว่าความรวยจนมันตัดกันแค่มุมมอง คนรวยเพราะมองได้ยาวนั่นเอง!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, February 6, 2014

เด็กอัจฉริยะที่ออมในหุ้น !!


"ออมในหุ้นต้องเงินจริง ยิ่งเด็กยิ่งดี เหมือนทำงานในยุคนี้ เริ่มเร็วยิ่งเก่ง เหมือนพวกฝรั่งที่เริ่มให้ลูกทำ Part-time ตั้งแต่เด็ก ...เรามักเทียบคนไทยกับฝรั่งแล้วมองว่าทำไมฝรั่งเขาเก่งกว่าเจริญกว่า พอมาเทียบกันตัวๆรายได้และฐานะของเขาก็ดีกว่าทั้งๆที่เราเรียนหนักกว่าเขา เดี๋ยวนี้เด็กไทยกวดวิชากันตั้งแต่ประถมยันมัธยม รวมเวลาเรียนของเด็กไทยผมว่าเขาเรียนหนักกว่าผู้ใหญ่ทำงานเสียอีก แต่ทำไมเห็นทีไร ฝรั่งก็เป็นหัวหน้าคนไทยทุกที ...ครับ!! ผมว่าสิ่งที่เราต้องปรับคือทัศนคติของพ่อแม่ที่ชอบเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน คือ ต้องการทางเดินแบบการันตีความสำเร็จ ปูทางทุก Step ตั้งแต่อนุบาลยันปริญญาเอก เพื่อเตรียมตัวสู่เส้นทางที่พ่อแม่วาดฝันไว้ ..ต่างอย่างสิ้นเชิงกับเด็กฝรั่ง ที่พ่อแม่ปล่อยให้เด็กลองผิดลองถูก ที่เด็ดกว่านั้นผมว่าคือค่านิยมที่ให้เด็กทำงานจริงๆตั้งแต่เด็ก เช่นไปทำงานเสริฟอาหาร , งานในซูเปอร์มาร์เก็ต ..พวกสิ่งเหล่านี้แหละที่เปิดโลกทัศน์ของเด็กว่าจริงๆ ทุกคนในโลกเขาไม่ได้รักเราแบบพ่อแม่นะ ซึ่งการฝึกเป็นลูกจ้างตั้งแต่เด็กมันสอนให้เขารู้จักค่าของเงินว่าจริงๆ แรงงานของเขามันแลกเงินได้เท่าไหร่ มันช่วยลดความฟุ้งเฟ้อในแบบเด็กลูกไฮโซในสังคมไทยที่เอาเงินพ่อแม่มาใช้ซื้อของอวดคนอื่นโดยไม่ได้รู้เลยว่ามันนั่งภูมิใจอะไรกันในการเอาหยาดเหงื่อของพ่อแม่มาประชันความหรูของตัวเอง ...ดังนั้น การฝึกทำงานจริงๆตั้งแต่เด็ก หรือ เริ่มลงทุนด้วยเงินจริงๆที่ออมจากเงินที่เก็บจากการทำงาน จะสอนให้เด็กคนนั้นรู้ค่าของเงิน สอนให้เขารู้จักโลกจริงๆว่ามันต้องรับมือและเรียนรู้กับความล้มเหลวระหว่างทางเดินของชีวิตอย่างไร" ...ครับ!! เริ่มทำงาน เริ่มลงทุน ยิ่งอายุน้อยยิ่งไดัเปรียบ ดังนั้น เริ่มเลย!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, February 5, 2014

มันถึงเวลาที่ผมต้องเปลี่ยนตัวเองจริงๆ ซะที ...เปลี่ยน !!


"หลายคนฟังคำแนะนำผมเรื่องการเริ่มออมในหุ้นและสร้าง Passive Income แล้วจิตตกเจียนตาย ก็ประเด็น หนี้บัตรเครดิต หนี้รถ และ หนี้บ้าน ..คือประมาณว่ากรูมี ทั้ง 3 หนี้เลย ทำไงฟระ ? ..ก็ใช่ไง !! พลาดไปแล้ว สร้างหนี้ไปแล้ว ทำไงล่ะ ? -- บอกตรงๆ นะ ไม่แปลกเลย คนส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้น สร้าง 3 หนี้ให้ตัวเองตกเป็นทาสในระบบทุนนิยมใหม่ (ทั้งๆที่เขาเลิกทาสมาตั้งนานแล้ว ยังจะเอาตัวเองมาเป็นทาสทั้งที่ความรู้สูง) ..ใช่!! คุณไม่ได้โง่หลอกแต่มันเป็นกับดักปัญญาชนที่เขาวางล่อด้วยอีโก้ ล่อด้วยหน้าตา ศักดิ์ศรี ล่อด้วยความไฮโซ ซึ่งผ่านยาก ...เงินที่คุณเป็นหนี้ ทั้ง 3 อย่าง หนี้บัตรเครดิต หนี้รถ หนี้บ้าน เป็นโซ่ล่ามทั้งชีวิตคุณเลย ให้คุณติดกรอบ เพราะหลงนึกว่า คุณค่าของตัวคุณคือ การมีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา บ่งบอกความสำเร็จ ...จริงๆ ไม่ใช่เลย เงินที่คุณเอามาผ่อนหนี้เหล่านี้แหละ ที่เหมาะจะเอามา    สร้าง Port ออมในหุ้น ..แล้วเมื่อวันนึง รายได้จากการออมในหุ้นซึ่งก็คือเงินปันผลที่หุ้นจ่ายเราทุกปีที่เรียกว่า Passive Income มันมากเกินค่าใช้จ่ายจำเป็น -- หลังจากนั้นแหละครับที่คุณถึงจะค่อยเริ่มซื้อ รถยนต์บอกฐานะ บ้านที่โอเค เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่บอกความสำเร็จ เพราะเราสำเร็จจริงๆจากการมี Passive Income มากกว่ารายจ่ายไง ..ทางแก้อาจจะฟังดูโหดนะ ก็คือ พิจารณาก่อนเลยว่าบ้านที่อยู่ เกินฐานะไหม ..มันไกลที่ทำงานแล้วทำให้เราเสียค่าเดินทางไหม ..คือลองคิดรอบๆด้านว่าบ้านที่เราผ่อนอยู่ มันเป็น Asset หรือ เป็นหนี้สินที่เป็นบ่อเกิดให้ชีวิตติดบ่วง เช่น บ้านไกล ก็เลยต้องซื้อรถสร้งหนี้เพิ่ม แล้วก็ค่าเดินทางเพิ่ม โรงเรียนลูกก็ไกล น้ำมันก็กำลังจะโคตรแพงขึ้นเรื่อยๆ คือ ยิ่งมองยิ่งซวย ...คำแนะนำคือ รีบขายบ้านหลังนั้นซะในช่วงที่ตลาดยังไม่พัง เพราะคุณรู้ไหมคนที่เป็นแบบคุณก็คือคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ..แล้วคุณไม่คิดหรือว่า เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้นสูงอีก คุณและคนส่วนใหญ่ที่ตกในสถานะอย่างคุณจะไม่ซวย ..ซวยซิครับ มันจะไปถึงจุดที่ทุกคนเริ่มผ่อนหนี้ไม่ไหว เกิดภาวะตลาดบ้านพัง เหมือนอเมริกาปี 2008 ที่คนอเมริกา Default ในหนี้บ้าน ..ใช่!! ปัญหานี้ไม่ใช่แค่คนไทย มันเป็นทั้งโลก -- ทางแก้คือ ขายบ้าน ขายรถ ขายของไม่จำเป็นก่อนที่ตลาดจะไปไม่ไหว แล้วจ่ายหนี้คืนซะ จากนั่นเริ่มชีวิตใหม่ วางแผนจากศูนย์ใหม่ คือ สิ่งแรกที่เราต้องสร้างให้ชีวิตคือ Passive Income เช่น ออมในหุ้นปันผลสูง , มีอสังหาให้เช่า , มีรายได้จากอาชีพเสริมเช่นขายตรงก็ได้ , มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์เช่น เขียนหนังสือ , เขียน Application , เปิดร้าน Online , สร้างรายได้จาก Internet ...คือ พอเราไม่เป็นหนี้ เราจะไม่เครียด เราจะไม่มีปัญหาทะเลาะกันในครอบครัว เราจะมีเวลาไปคิดหารายได้เสริมมากขึ้น ....ครับ !! ทุกคนเริ่มใหม่ได้เสมอ ความผิดพลาดคือครูที่ดี แต่คุณต้องกล้าที่จะเริ่มใหม่ -- คุณจะใช้ชีวิตแบบเป็นทาสหนี้แล้วเดินเข้าสู่ทางตันแบบคนส่วนใหญ่ หรือ คุณจะทนเจ็บปวดชั่วคราว ปรับชีวิตใหม่ แล้วกลับหลังหันเดินไปอีกทางที่สดใส ...บทความนี้โหดครับ!! เพราะคนส่วนใหญ่ สิ้นหวังไปแล้วกับการยอมเป็นทาสหนี้ที่พาชีวิตครอบครัวสู่ทางตัน แต่คุณลืมไปว่า เราเริ่มชีวิตใหม่ได้ทุกวัน ถ้าเรากล้าที่จะเริ่มครับ!!" ...ลองคิดด้วยตัวเอง แล้วเลือกทางเดินที่คุณคิดว่ามันใช่สำหรับคุณ ผมเอาใจช่วยครับ!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, February 4, 2014

ออมในหุ้นให้รวย ต้องทนได้ 10 ปี ..มันเลยยากไง !!


"อยากให้ตัวเองหลุดจากความเป็นทาสในระบบทุนนิยมไหม ? ..เฮ้ย!! ยุคนี้เขาเลิกทาสไปนานแล้ว ...เลิกบ้าอะไรเล่า ไอ้พวกทาสยุคนี้ ก็พวกที่สร้างหนี้มาล่ามโซ่ตัวเองไง -- จุดเริ่มของทาส เกิดจาก ความอยากและความไม่เจียมตัว ทางแก้คือ เลื่อนความอยากออกไป (ไม่ได้บอกให้ตัดความอยาก แต่ให้เลื่อนมันออกไปเท่านั้น) จากนั้น ก็สร้างเครื่องผลิตเงินส่วนตัว จากการออมในหุ้นปันผล ...สิ่งที่คุณต้องเจอคือ สายตาดูถูกจากเพื่อนๆของคุณว่าคุณมันไม่ไฮโซ -- แต่เชื่อไหมหวังจาก 10 ปีที่คุณออมในหุ้น (ผ่านการขึ้นลงครบ Cycle ครบรอบของหุ้นนั้นๆ) คุณจะเป็นคนที่มีความภูมิใจในตัวเองมาก ที่คุณไม่เป็นหนี้ แล้วก็มีแต่ Passive Income และอยู่ในสังคมแบบไม่ต้องขอใครกิน ไม่ต้องก้มหัวให้ใคร ..ใช่!! ไม่เห็นต้องไฮโซ แต่เราแค่คนจริงเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไฮโซในคราบทาสบัตรเครดิต ทาสหนี้ -- เคล็ดลับคือ อย่าไปใช้บัตรเครคิด มันของไฮโซ(ปลอม)ให้เขาใช้ไป อย่าไปกู้ในเวลาที่เรายังไม่มี Passive Income แต่กู้ได้ถ้าเรามี Passive Income มากกว่ารายจ่ายแล้ว ...คิดได้แบบนี้ คุณจะเป็นไท ไม่เป็นทาสของระบบทุนนิยม ...แจ๋วจะตาย!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, February 3, 2014

คนออมในหุ้น ไม่เห็นต้องกลัวฝรั่ง !!


"ผมไม่เคยกลัวฝรั่ง ..หลายคนพูดว่าเราเสียเปรียบฝรั่ง แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย ..ฝรั่งเขาหลอกได้แต่คนโลภเท่านั้นแหละ แต่หลอกคนที่ลงทุนแนวออมในหุ้นแทบไม่ได้เลย เพราะคนออมในหุ้นจะซื้อหุ้นโดยมองที่ปันผลสูง แล้วคิดง่ายๆ ว่าหุ้นที่ปันผลสูงก็หมายความว่ามันไม่ได้แพง เช่น หุ้นราคา 10 บาท ปันผลปีละ 1 บาท นั่นแปลว่า ถ้าถือแล้วไม่ขาย 10 ปีก็จะได้เงินต้นคืน หลังจากนั้นก็จะมีแต่กำไร ...ถูกต้อง!! ฝรั่งมันสวนตูดเราได้ ต่อเมื่อเราซื้อๆขายๆเท่านั้น เพราะฝรั่งจะปั่นให้หุ้นราคาขึ้นจากนั้นก็ล่อรายย่อยให้ซื้อหุ้นแพงๆตอนเขาทิ้งจากดอย ยิ่งฝรั่งทิ้ง รายย่อยยิ่งรับ 'รายย่อยจะติดหุ้นขาลงนั่นแหละ' (จุดที่หุ้นแพง เป็นจุดที่ปันผลน้อย คนออมในหุ้นจะไม่ซื้อ ดังนั้น ฝรั่งหลอกเขาไม่ได้) ..จากนั้นฝรั่งก็ทุบหุ้นออกของเป็นรอบๆ รายย่อยส่วนใหญ่ก็มักรับหุ้นขาลงจากฝรั่งแล้วก็ติดหุ้น (คนที่ออมในหุ้น อาจใช้จังหวะที่ฝรั่งทิ้งของ แล้วรอจุดที่กราฟหุ้นภาพ Week หรือ Month แตะ Oversold แล้วดูปันผลประกอบว่าได้ 5% ขึ้นไป ..ก็นับว่าเป็นจุดที่ทยอยเก็บยาวๆได้) ...ใช่!! คนที่เสียเปรียบทุนฝรั่งก็คือคนที่ Trade หุ้นแข่งกับฝรั่ง ...แต่คนที่ซื้อออมหุ้น ไม่ได้สนใจส่วนต่างของราคา แต่สนเพียงว่า สามารถซื้อหุ้นเมื่อมูลค่าเหมาะสม มีปันผลคุ้มค่า จากนั้นเก็บออมหุ้นนั้นให้เป็นเครื่องผลิตเงินให้เขาชั่วชีวิต"..ใช่!! คนออมในหุ้น ไม่เคยกลัวฝรั่ง แต่ฝรั่งกลัวเราเพราะเราฉลาดและไม่โลภ เราพอเพียง แล้วรวยครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Sunday, February 2, 2014

การใช้ Robot ก็เป็นอีกแนวทางในการออมในหุ้น !!


(อีกแนวของการ ออมในหุ้น คือ ใช้ Robot !!.. เป็นแนวทางใหม่ ที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยหลักการ Limit Loss & Let Profit Run 'ความเสี่ยงจำกัด ผลตอบแทนไม่จำกัด') 
"มีหลายท่านถามผมเรื่องการใช้ Robot บริหาร Port ให้ลูกค้า ที่ผมร่วมดูแลในหลักทรัพย์บัวหลวง ว่ามันคืออะไร? ..พอเจอวิกฤตแล้วผลงาน Robot เป็นยังไง ดีหรือแย่กว่ามนุษย์บริหาร? ..ข้อดี ข้อเสีย และ ผลตอบแทนเป็นยังไง?" ...ครับ ในส่วนของ Robot ก็คือ การเขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ซื้อขายหุ้นดูแล Port แทนเราแบบอัตโนมัติ (คล้ายๆ Private Fund นั่นแหละครับ) ..ข้อดีคือ มันเป็น Money Work for you "เงินทำงานให้เรา" ในรูปแบบนึงเพราะเจ้าของเงินไม่ต้องทำอะไร วางเงินเฉยๆ ..ข้อเสีย คือ ต้องมีความเข้าใจในหลักการ!! เพราะ Port จะผันผวนในแบบ Trader Style มีโอกาสที่เงินจะ Draw Down คือ เงินใน Port ลดลงได้ถึง 20% ( เงิน 1 ล้านอาจลดลงเหลือ 800,000 บาทได้ ในบางจังหวะ ที่หุ่นยนต์ Cut Loss แล้วถือเงินสดเพื่อรอเข้าในขาขึ้นของหุ้นในรอบต่อๆไป) ..แต่สุดท้ายด้วยค่าเฉลี่ย Port ก็จะกลับมากำไรในที่สุด หากเราเชื่อสมมุติฐานว่า "หุ้นมีขึ้นมากไป และ หุ้นก็มีลงมากไป เท่านั้นเอง" ..ดังนั้น การลงทุนในแบบ Robot (แนว Trader) ก็อาศัย "เวลา" เหมือนการลงทุนในแบบอื่นๆ ..และข้อจำกัดของการลงทุนแบบนี้คือ เงินเริ่มต้นของคนที่จะใช้ Robot บริหาร Port ต้องเริ่มที่ 5 ล้านบาท และมีค่า Fee ที่สูงกว่ากองทุนปกติ แต่จะต่างตรงที่ จะคิด Fee ก็ต่อเมื่อเมื่อ Port กำไรเท่านั้น ไม่ได้คิดค่า Fee บนเงินต้นเหมือนกองทุนทั่วๆไป ..ใครสนใจติดต่อได้ที่ทีม iProgramtrade ของหลักทรัพย์บัวหลวง หรือ ติดต่อคุณอ้อม Robot 'FRT' ที่เบอร์ 
หรือ 02-618 1425 ครับ ในส่วนของ Performance ของ Robot ว่าเจ้า FRT บริหารเงินจริงๆ ดีหรือแย่อย่างไร ? -- ดูได้ที่เว็บของ FRT อันนี้ www.fortune.co.th (ภาพที่แนบคือ ผลงานจริงของลูกค้าที่ใช้  Robot ของ FRT ผ่านตลาดปรับฐานรุนแรงในปีที่แล้ว)

เรียนรุ่นใหม่ ..ต้องกล้าพอ !!


"ค่านิยมเรื่องการศึกษากับการรู้จักออมในหุ้น !! ..วันนี้ค่านิยมเรื่องการล่าใบปริญญา และการให้ลูกเรียนให้ดีที่สุดและสูงที่สุดในระบบการศึกษา ทำให้ตัวเลขค่าใช้จ่ายใหม่ของการส่งลูก ตั้งแต่เกิดจนจบปริญญาในสายอินเตอร์ แตะมูลค่ารวม 20 ล้านบาท ..แม่เจ้า!! ค่านิยมนี้ของคนไทยอาจลืมไปว่า เงินเดือนเริ่มต้นของคนจบปริญญาโทเมืองนอก มันเริ่มที่ สองหมื่นกว่าบาท ..ถ้าเทียบนี่เป็นการลงทุนก็เหมือนกับค่านิยมการใช้กระเป๋าใบละล้านมาเดินโชว์ เพื่อดูดี แต่ไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งาน หรือ ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของคนถือ ซึ่งก็คือ ความสุขที่เกิดจากการครอบครอง ...โอเค คุณว่าในต่างประเทศที่เจริญแล้วเขาให้ค่าใบปริญญาและสถาบันเท่ากับบ้านเราไหม ? -- ครับ!! ไม่ใช่เลย ในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มีการศึกษาที่แท้จริงจะเห็นได้ว่า เขาให้คุณค่าของ การสร้างความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพ มากกว่าใบปริญญา เพราะทุกอาชีพที่นั่นไม่มีคำว่าอาชีพชั้นต่ำ ผู้เชี่ยวชาญในทุกสายอาชีพเป็นเศรษฐีได้หมด ..ใช่!! คนงานก่อสร้างในต่างประเทศยังเป็นเศรษฐีได้ หากคนงานก่อสร้างคนนั้นๆ มีความเชี่ยวชาญในอาชีพที่ตัวเองทำ ...การมุ่งให้เด็กค้นหาตัวเองว่าอยากทำอาชีพอะไร เด็กคนนั้นๆ รักที่จะทำงานอะไร รวมทั้งการเปิดกว้างทางโอกาสให้เด็กคนนั้นๆได้ทดลองจริงๆว่า อาชีพที่อยากจะทำในอนาคตเขาชอบและเชี่ยวชาญจริงๆหรือเปล่า โดยการฝึกงานระหว่างเรียน การทำระบบ Apprenticeship ที่ให้เด็กคนนึงเรียนอาชีพจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในแบบ On the Job Learning คือ เรียนไปทำงานจริงไปด้วย -- ครับ!! ใบปริญญาไม่ใช่ทุกอย่างที่ใช้ตัดสินคน แต่ระบบการศึกษาที่เปิดกว้างให้เด็กได้รู้ว่า ตัวเองรักที่จะทำอะไร และ การพัฒนาความเชี่ยวชาญจริงๆ ในแต่ละสายอาชีพต่างหากล่ะที่ชี้วัดความสำเร็จ ...ใช่!! ถ้าคุณเป็น สุดยอดในอาชีพของตัวเอง ไม่ว่าอาชีพใด ผมเชื่อว่าคุณรวยได้หมด -- แม้ว่าวันนี้ระบบการศึกษาและค่านิยมของไทย ไม่ได้เปิดโอกาสแบบที่ผมพูด แต่เราเองเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาสในวันนี้ได้เลย โดยสร้างความเชื่ยวชาญ ศึกษาและลงมือทำงาน ในสายอาชีพของตัวเองให้รู้ลึก รู้จริง ..ด้วยเวทีที่วันนี้คนรุ่นใหม่ สามารถสร้างได้เองอย่าง Social Media ในปัจจุบัน ที่เปิดกว้างและฟรี ..คุณสร้างเวทีให้ตัวเองได้ หากคุณสุดยอดในเรื่องที่ตัวเองเลือกทำ ..ลุยให้สุดครับ อยากทำอะไรต้องเป็นสุดยอดให้ได้ แล้วท่องไว้ 'ให้ก่อน แล้วค่อยรับ' -- รุ่งแน่ ผมเอาใจช่วยครับ!!" ...แล้วเรื่องออมในหุ้นนี่ มันคือทุกอาชีพสามารถเริ่มสร้างเครื่องผลิตเงินส่วนตัวไปพร้อมๆกับ การสร้างความเชี่ยวชาญในสายอาชีพของตัวเองในเวลาเดียวกัน -- เก่งและรวย ด้วยตัวเอง ทำได้น่า !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Saturday, February 1, 2014

คนรวยก็จนได้ ถ้าไม่เข้าใจเกมการเงินในโลกยุคใหม่


"ลูกคนรวยก็จนได้ ถ้าออมในหุ้นไม่เป็น รู้จักแต่ผลาญเงิน แล้วหาเงินไม่เป็น ..สุดท้ายทรัพย์สมบัติมรดกมีมากแค่ไหนก็หมดอยู่ดี ..ไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอก ไม้ต้องไปแช่งเขา ..นี่เป็นเหตุผลนึงที่ความรวยส่งต่อได้ไม่เกิน 3 Generation เพราะรุ่นพ่อหาเป็น รุ่นลูกหาไม่เป็น ใช้เก่ง ..รุ่นหลานใช้โคตรเก่ง หาไม่เป็นเลย สุดท้ายหมด -- ดังนั้น โลกนี้แม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นได้ ..คนฉลาดต้องเลือกที่จะใช้ให้น้อยกว่าที่หา จากนั้นเลือกการวางเงินอย่างฉลาด คือ วางในที่มีรายได้ประจำ เช่น การออมในหุ้นปันผล ..สุดท้ายก็อดทน ผ่านความผันผวนต่างๆ อดทน เปิดใจเรียนรู้ ..ผมเข้าใจนะ โจทย์ของการซื้อหุ้นปันผลอย่างเดียวแล้วไม่ขายชั่วชีวิตมันฟังดูยาก เพราะราคาหุ้นผันผวนสุดขีดตลอดเวลา
แต่แก่นแท้ของมันคือ การมองผ่านราคา แล้วเห็นมูลค่าที่แท้จริงๆของหุ้นทุกตัวที่เราจะออม จะเป็นเจ้าของ ..ใช่!! จังหวะซื้อต้องฝึกฝน เพราะซื้อแล้วห้ามขาย ต้องซื้อได้ในจุดที่ดีเลยทีเดียว ..ก็ลองศึกษาจัดไป ทางเส้นนี้แม้ไม่ง่ายแต่ก็สามารถทำได้ หากมีความเข้าใจและความอดทน"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน