savestock

savestock

Wednesday, February 26, 2014

ต้องแยกให้ออกระหว่าง'ความเสี่ยง'กับ'ความผันผวน'


"วิธีการใดเสี่ยงกว่า ระหว่าง หนึ่ง คนที่เก็งกำไรหุ้น(เงินร้อน ซื้อขายทำกำไรให้เร็วที่สุด ..เพื่อกำไรจากการจับเสือมือเปล่า) กับ วิธีที่สอง คนที่เป็นเจ้าของหุ้น (เงินเย็น ออมในหุ้น ไม่ขาย รับแต่ปันผลไปเรื่อยๆ เหมือนเจ้าของ) ...ตอบตรงๆ คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่าง 'ความเสี่ยง' กับ 'ความผันผวน' ...เลยเหมารวมว่า ความผันผวนก็คือความเสี่ยง ดังนั้น ก็เห็นที่มาว่าทำไมคนส่วนใหญ่ ถือหุ้นแบบออมในหุ้นเหมือนเจ้าของไม่ได้ ทั้งที่สุดท้ายคนที่รวยที่สุดจากตลาดก็คือ เจ้าของที่เขาไม่ได้ขายหุ้น ดูอย่างตระกูลที่รวยๆในประเทศไทย อย่าง CP , เบียร์ช้าง , เซ็นทรัล ก็ล้วนรวยจากการถือหุ้นแล้วไม่ขาย คือ เขาออมในหุ้นทั้งนั้น -- สรุปง่ายๆ เลย ว่าคนที่อยากรวยบ้างก็คือ ซื้อหุ้นปันผลอย่างเดียวไม่ขาย ไม่สนการแกว่งของราคาหรือความผันผวน ..อันนี้แหละรวยสุด รวยแบบนั่งกระดิกเท้า ในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, February 24, 2014

สิ่งที่เกิดปี 2008 มันจะเกิดอีกครั้ง !!


"คนทุกคนกลัววิกฤตเศรษฐกิจเพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดขึ้นแล้วทุก Asset ที่ถืออยู่โดยเฉพาะหุ้น จะเจ๊ง !! ..จริงเหรอ ? ..ก่อนจะตอบโจทย์ตรงนั้นคุณทราบไหมว่า วิกฤตเศรษฐกิจอย่างปี 2008 ว่ามันเกิดจากอะไรจะได้รู้เมื่อไหร่จะเกิดอีกและเพราะอะไร ? ...ครับ!! วิกฤตเศรษฐกิจอย่างปี 2008 เกิดจากธนาคารและสถาบันการเงินสร้างหนี้เกินตัว เนื่องจากโลภ ..ตัวที่จุดชนวนการพังของตลาดปี 2008 ก็คือ Lehman Brother หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่สร้างหนี้ถึง 33 เท่าของเงินที่มี คิดดูละกันครับถ้าเป็นคนธรรมดามีหนี้ 1 เท่าก็ท่วมหัว โดนฟ้องล้มละลายไปแล้ว แต่นี่สร้างหนี้ 33 เท่า คือ เรียกได้ว่าถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิดจะทำให้ธนาคารขาดสภาพคล่องถึงขั้งเจ๊งได้ ..และในที่สุดปี 2008 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดเมื่อหนี้ Sub Prime เงินกู้บ้านของคนที่มีความเสี่ยงสูงเกิดปัญหาชำระหนี้ไม่ได้ ซึ่งชื่อมันก็บอกแล้วว่า Sub Prime คือ หนี้ที่ปล่อยให้คนที่เสี่ยงสูง เช่น ปล่อยให้คนตกงานซื้อบ้าน ปล่อยให้คนไม่มีรายได้ซื้อบ้าน (บ้าไหม?) ..นั่นแหละจุดเริ่มของทุกวิกฤต หนึ่ง เกิดจากความไม่ Make Sense เช่น กู้และปล่อยกู้เกินฐานะ ..สอง โลภทั้งคนให้กู้ และโลภทั้งคนกู้ -- สรุปทุกวิกฤตเจ๊งเพราะ 'ความโลภ + ไม่ Make Sense' นั่นเอง ..ดังนั้นเมื่อรู้แล้วลองหันมาดูวิธีการลงทุนของคุณ ถ้าหนึ่ง คุณหวังจะรวยเร็วจากการลงทุน แปลว่า คุณโลภแล้ว เพราะใครจะโง่ซื้อหุ้นหรือซื้ออสังหาที่แพงขึ้นตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่ Asset เหล่านี้ราคาขึ้นเร็วมากๆ ตอนตลาด bubble ยิ่งน่ากลัว เพราะมันแปลว่า คนส่วนใหญ่แห่ซื้อสินทรัพย์ที่ยอมจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ ในเวลารวดเร็ว(แต่คนส่วนใหญ่ก็แห่ซื้อขาย เสี่ยงดวงในเวลาตลาดบูมมีแต่ข่าวดีเสี่ยงมากอยู่ดี ..เพราะโลภไง!!) ..สอง ความไม่ Make Sense ถ้าคุณหวังได้กำไรจากหุ้นโดยไม่สนว่าปันผลเท่าไหร่ แปลว่าคุณหวังเก็งส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่าระหว่างที่คุณถือหุ้นเก็งกำไร จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแล้วทำให้ราคาหุ้นตกในเวลารวดเร็ว(ติดดอยระหว่างเก็งกำไร)..ตรงนี้ต่างจากคนที่ใช้เงินเย็นซื้อหุ้นที่มองปันผล เช่น ซื้อหุ้น 10 บาท ได้ปันผลปีละ 1 บาท ก็เสมือนว่าได้ 10 % ต่อปีโดยไม่ต้องสนใจการแกว่งของราคาหุ้นในระยะสั้นเลย เมื่อเวลาผ่านไปหุ้นก็ขึ้นอีกได้ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นเป็นกำไร อันนี้แหละ Make Sense และ ไม่โลภ -- ลองพิจารณาการลงทุนของคุณเองว่าเป็นอย่างไรครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, February 20, 2014

ตนเล่นของ ..ทองจะไปไหน !!


"ผลตอบแทบที่แท้จริงของที่ดินคืออะไร ?...ค่าเช่าไงครับ ..แต่คนส่วนใหญ่จะสนใจแต่ส่วนต่างราคาจนสุดท้ายก็ขายที่ดินได้กำไร แต่ไม่รวย ..ปัญหาของหลายๆคนที่มี Asset อย่างที่ดิน แต่ขายทีไรราคาพุ่งหลังขายทุกที แปลว่าถือตั้งนานไม่เดือดร้อน แต่พอราคาขึ้นก็เร่าร้อนไม่สามารถทนได้ ต้องรีบขาย ..คนที่เป็นแบบนี้การันตีได้ว่าไม่รวย เพราะเหตุผลตรงๆชัดๆเลย ก็คือ ทนรวยไม่เป็น (จะรวยได้ไง) ...คุณรู้ไหมวิธีแก้ของคนทนรวยไม่เป็นก็คือ ไม่ขายเลย ..คิดง่ายๆ ที่ดินยิ่งเวลาผ่านไปราคาย่อมเพิ่มขึ้น ดังนั้น คนที่ถือแล้วไม่ขายเลยก็จะรวยมากที่สุด -- หลายคนบอกว่าทนรอไม่ได้ มีวิธีแก้ไหม ? ..มีครับ ก็ให้เลิกดูการขึ้นลงของราคา แต่ให้มาสนใจเรื่องค่าเช่าจากที่ดินแทน ...แล้วถามต่อว่า มีอะไรได้ค่าเช่าง่ายกว่าที่ดิน ก็หุ้นเลย ..หุ้นได้ปันผลเหมือนค่าเช่า -- ดังนั้น การเอาเงินออมในหุ้นที่ปันผลสม่ำเสมอ ก็เกือบการันตีแล้วว่าคนๆนี้อนาคตจะสบาย ยิ่งถ้ารู้จักสร้าง Port ที่ให้ปันผลแบบ Passive Income ชีวิตก็ยิ่งสบายครับ" ...จัดไป !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, February 18, 2014

กระจกสะท้อนตัวคุณ ..บอกอนาคตแม่นกว่าหมอดู!!


"เพื่อน 5 คนที่ออมในหุ้น ...เคยได้ยินเรื่องเพื่อนสนิท 5 คนที่อยู่รอบๆเราไหม ..คุณรู้ไหมว่าในโลกจริงๆ เราทุกคนไม่เคยรู้หรอกว่าตัวเรามีนิสัยเป็นอย่างไร เพราะใครๆก็มองเข้าข้างคิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีทั้งนั้น ...แต่เอาจริงๆนะ หากคุณอยากเห็นตัวเอง ง่ายมาก คุณลองมองเพื่อนสนิท 5 คนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ..ใช่!! นั่นแหละกระจกสะท้อนตัวคุณ ...บางคนบอกทำไมเพื่อนรอบๆ ตัวมีแต่พวกชอบนินทาคนอื่น อิจฉาคนอื่น 'ก็เพราะตัวคุณเป็นนิสัยอย่างนั้นนั่นแหละ' ..คุณรู้ไหมคนไทยส่วนใหญ่ เป็นคนคิดลบ ชอบอิจฉาคนอื่น ชอบนินทาคนอื่น และเอาแต่บ่น ..มองตัวเองว่าฉันดีที่สุด ทุกคนเลวหมด ...คนเหล่านี้คือคนส่วนใหญ่ของประเทศที่คิดลบ ..แล้วไง ? -- การคิดลบเป็นปัญหาใหญ่เพราะคนคิดลบ จะไม่ใช่คนสร้างสรรค์เพราะเขาทำอย่างเดียวคือการบ่น ..ต่างกับคนคิดบวก ..จริงๆ คนคิดบวกก็บ่นเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่คนคิดบวกเขามี Solution ให้กับปัญหา 'มีวิธีแก้ให้กับปัญหาต่างๆ' ดังนั้น มันเป็นการคิดเพื่อต่อยอด หรือ คิดปรับปรุงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น(จะเรียกว่าคิดแบบผู้ประกอบการก็ได้) -- วิธีการเปลี่ยนตัวเองก็คือ ดูจากกระจกคือเพื่อนรอบๆตัวว่าเราเป็นคนคิดบวกหรือลบ ..ถ้าลบก็ค่อยๆถอยออกมา เปลี่ยนเพื่อนซะเถอะ ..ฟังดูโหดนะครับที่เราต้องเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนหากเราอยากเปลี่ยนตัวเอง ..ก็เพราะเราต้องกระจกที่ดี ที่สะท้อนและบันดาลใจซึ่งกันและกัน -- เพื่อนดีน่ะสำคัญมากจริงๆครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, February 17, 2014

ข้อสอบสิบปีของชีวิต ..ผ่านได้ก็ไปรอด !!


"เงินก้อนเหนื่อย !! ..นี่คือหนึ่งในปัญหาของคนไทย คือ หาเงินเป็น แต่วางเงินให้มันทำงานไม่เป็น ..ก็เหนื่อยชั่วชีวิตซิครับ เพราะ ถ้าเล่นหาเป็นอย่างเดียว วันนึงเงินที่หาก็ต้องหมด เพราะลองนับอายุคนซิครับ เดี๋ยวนี้กว่าจะเรียนจบก็ปาเข้าไป 25 แล้ว ถ้าจะต่อปริญญาโทก็ไปนุ่น 26-27 ..พอเริ่มทำงานก็เงินเดือนหมื่นกว่าๆ ..เอาจริงๆ เถอะถ้าเก็บออมจากเงินเดือนยังไงก็ไม่พอ ชีวิตก็ตายช้า จะเก็บเงินก้อนพอได้ไง ? ..ไม่พอก็ต้องสร้างหนี้ ..พอสร้างหนี้ก็ตามมาด้วยปัญหาทะเลาะกันเรื่องเงินในครอบครัว ..ยิ่งเครียดผู้ชายยิ่งอยากไปอาบน้ำนอกบ้าน แล้วรูดบัตรเครดิต ส่วนภรรยาก็แก้เครียดเรื่องเงินด้วยการไป Shopping แก้เครียด ..ก็รูดบัตรเครดิต เพิ่มหนี้มันเข้าไป ...สถิติบอกหนี้สินนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้ขนาดทำงานทั้งสามี ภรรยา ยังไม่พอกินเลย ..คิดง่ายๆ นะถ้ามีคนมาเสนอให้สินบน ให้คอรัปชั่น เอาไหม ? ..เอาดิครับ เพราะมันเป็นเหมือนน้ำเลี้ยงจากสวรรค์ (จริงๆมันคือนรก) ..นั่นดิ แล้วจะแก้คอรัปชั่นยังไง ...นี่ไม่พอนะ พอพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องเงิน ลูกก็เซ็งไม่อยากกลับบ้าน ไปเป็นเด็กแว้นดีกว่า ...สังคมมันไม่มีที่ยืนให้เขา เขาก็ต้องเรียกร้องความสนใจ ก่อปัญหาแบบที่เห็น ..ถามจริงๆ ที่เล่ามาปัญหานี้คุณโทษใคร ? ...อ๋อ โทษใครก็ได้ครับ ที่ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันถูกหมดทุกอย่าง -- จริงเหรอครับ ? ...บอกตรงๆ นะถ้าวันนี้ชีวิตเรามีปัญหา ลองหันมาโทษตัวเองซิครับ แล้วเราจะเริ่มฉลาดขึ้น ..เราจะรู้ว่าทุกปัญหาเราสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด ...วิธีแก้ ก็กลับมาที่จุดเริ่มต้น ก็คือวันแรกที่รับเงินเดือน  -- "กฏเหล็ก 10 ปีสู่ชีวิตที่สร้างเอง" -- คือ 10 ปีแรกของชีวิต ต้องฝึกวินัยตัวเองให้รายได้ มากกว่า รายจ่าย จากนั้นเอาเงินที่เหลือไปลงทุน เช่น ออมในหุ้น เก็บหุ้นปันผลไปเรื่อยๆ ...ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ..สิ่งของที่อยากได้ เช่น รถยนต์ บ้าน ต้องเลื่อนไปซื้อเมื่อพร้อม ...วันที่เราพร้อมจะสร้างหนี้ ก็คือ วันที่เรามีเงินจะจ่ายหนี้ เช่น ถ้าคุณสร้าง Port การลงทุนจนมี Passive Income ก็นั่นแหละเงินที่พร้อมใช้ได้ ...ครับ!! โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย คนจะรวยหรือดูแลตัวเองได้ก็ต้องบริหารเงินเป็นและมีความอดทน" ...แค่นั้นเอง ทำได้ไหมล่ะครับ ? (ยาก แต่คนที่ทำได้ เขาก็ยกระดับชีวิตตัวเองได้)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, February 13, 2014

กำแพงที่กั้นขวาง แม้กระทั่งคนเก่งก็ไม่ให้ผ่าน !!


"ผมมีลูกค้าที่เป็นหมอหลายท่านมาถามในคำถามที่น่าสนใจมาก อยากเล่าให้ฟังครับ ..คือ คุณหมอมาปรึกษาผมว่า เขาหาเงินทั้งทำโรงพยาบาล และก็ทำคลินิกส่วนตัว แบบว่าทำเต็มที่แล้ว ได้เงินประมาณเดือนละ 3 แสน คือ Limit สุดแล้ว ...โอวว !! หมอครับ ฮึม !! โคตรเยอะเลยครับพี่ เข้า Ranking น่าจะสูงแบบ CEO บริษัทชั้นนำในประเทศไทยแล้วนะครับ ...เออ ว่าแต่พี่หมอมีลูกสาวไหมครับ (ฮ่า..ฮ่า ล้อเล่น) -- เข้าประเด็นดีกว่า ผมเข้าใจว่าพี่หมอต้องการถามอะไร คือ พี่หมออยากจะรู้ว่าเขาหาสุดก็เยอะขนาดนี้แต่ทำไมไม่รวยและไม่สบายเหมือนหลายๆคนที่อาจจะทำเงินต่อเดือนน้อยกว่านั้น ..ฮึม!! ดูพี่หมอตาคล้ำนะครับ ให้ผมเดานะ พี่หมอติดหุ้นเยอะเลยใช่ไหมครับพี่ -- 'เฮ้ย!! รู้ไดไงฟระ' -- ครับ ประเด็นจริงๆ ของการสร้างความมั่งคั่งแบบยั่งยืนของคนแต่ละคน ไม่สำคัญว่าเขาจะมีอาชีพไหนหรือเงินเดือนเท่าไหร่ (แต่แน่นอน อาชีพเงินเดือนสูงย่อมได้เปรียบนิดหน่อย ..แต่ส่วนใหญ่คนเงินเดือนสูง เขาสร้างหนี้สูงขึ้นไปอีก) ..ที่สำคัญคือ พอได้เงินเดือนมาหักค่าใช้จ่าย หักหนี้หักทั้งหมดแล้ว มีเงินเหลือเท่าไหร่ และที่วัดความแตกต่างจริงๆก็คือหลังจากนั้นขึ้นกับว่าเอาเงินออมนี้ไปสร้างให้มันเติบโตอย่างไร ..ถ้าฝากธนาคารเฉยๆ หรือ ซื้อพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยต่ำ พวกนี้เงินไม่มีทางโต เพราะเราวางในที่แพ้เงินเฟ้อที่แท้จริง -- ทางที่จะให้มันโตก็ต้องวางใน Asset เช่น ที่ดิน , ทอง , หุ้น ..แต่ปัญหาก็มีเช่น ที่ดินก็แพง , ทองเวลานี้ก็กำลังลง และหุ้นก็เล่นยาก เข้าทีไร ดอยมันทุกรอบ ...นั่นไงครับ!! ที่พี่พูดมันตรงชีวิตของแมงเม่าในตลาดหุ้นส่วนใหญ่เลยครับ คือ เขามองตลาดหุ้นว่าน่ากลัว เวลารอบการขึ้นมาก็ยังกล้าๆกลัวๆไม่เข้า มัวแต่นั่งรอให้ข่าวร้ายต่างๆในตลาดผ่านไปให้หมด จากนั้นพอเริ่มมั่นใจเข้าซื้อ ทุกข่าวในตลาดมีแต่ข่าวดีๆ เราซื้อปั๊บ ดอย!! ติดดอยของทุกๆรอบที่เข้า เสมือนมันเขียนโปรแกรมใส่ไว้ที่หน้าผากเราเลยว่า ถ้าฉันซื้อวันไหนตัวไหน จะติดดอยทันที ..โคตรเซ็ง !!!! -- พี่ครับวิธีง่ายสุดเลยนะ สำหรับคนที่พอมีรายได้มากกว่าจ่าย (พยายามลดหนี้ ลดจ่าย) ให้ออมในหุ้น คือเลือกหุ้นตามพื้นฐาน ไม่ตามตลาด แปลว่าหุ้นที่เราซื้อมาออมมักอยู่ในช่วงที่ตลาดเขาไม่เล่นหุ้นกลุ่มเรา อย่างเช่นปี 2011 คนเขาเล่นค้าปลีกกัน เราก็มาซื้อออมตัวที่คนส่วนใหญ่มองว่าไม่ดีเช่นกลุ่มมือถือ ..หรืออย่างปี 2014 ปีนี้ตลาดแย่เราก็มาดูตัวที่ไม่แพง แล้วบริษัทยังแข็ง แถมให้ปันผล และคนส่วนใหญ่ไม่เล่น เช่น กลุ่ม PTT ...พูดง่ายๆว่า เราซื้อออมหุ้นมีหลักการคือ ซื้อหุ้นดีในเวลาที่บริษัทนั้นๆเกิดวิกฤต ก็จะทำให้เราได้เฉลี่ยซื้อในเวลาที่หุ้นถูก (ประเด็นไม่ใช่ต้องซื้อถูกที่สุด เพราะมันไม่มี แต่ถ้าเฉลี่ยซื้อเวลาวิกฤตมา ก็ถือเฉลี่ยซื้อได้ถูกแบบว่าสุดยอดแล้ว) ...ให้ดู รอบ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพราะโดยมาก รอบ ของตลาด กับตัวที่เราน่าซื้อออมมันคนละรอบ ดังนั้นต้องดูดีๆครับ ...ข้อสรุปคือพี่หมอต้องลงทุนเพิ่มแบบถูกวิธี เพราะคุณหมอไม่มีเวลา ดังนั้น ถ้าจะ Trading ซื้อขายเก็งกำไรผมฟันธงว่า ไม่น่าจะ Work ..ทางแก้ก็คือ ทำงานตัวเองให้ดีหาเงิน แล้วเอาเงินเก็บมาออมในหุ้น (ซื้อหุ้นปันผลดี ในรอบที่ราคาถูก แล้วไม่ขาย ปล่อยให้มันทำเงินปันผลให้เราชั่วชีวิต) -- แต่นี้รับรอง เลิกติดหุ้นปั่น แต่กลับมาติดหุ้นปันผลดี ติดไปตลอดชีวิต ให้มันสร้าง Passive Income ให้เรา ในขณะที่เราก็หา Active Income มาเติม Port ออมในหุ้นไปเรื่อยๆ ...รวยชัวร์ แค่อดทนหน่อย ..เอาใจช่วยครับ -- บอกตรงๆ วิธีการนี้ใช้ได้ทุกอาชีพและดีจริงๆในระยะยาว ..จัดไปครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, February 12, 2014

นายหน้า กับ เจ้าของ ใครรวยกว่ากัน ?


"Landlord (เจ้าของที่ดิน) กับ Broker (นายหน้า) ตกลงใครรวยกว่ากัน ? ...ประเด็นนี้น่าสงสัยว่า คนนึงซื้อๆขายๆ รู้ข่าววงนอกวงใน เพราะเป็นคนกลางระหว่าง เจ้าของกับลูกค้า เทียบกับเจ้าของที่ดิน ที่วันๆก็ไม่ได้มาสนใจว่ามูลค่าที่ดินของตัวเองจะมีราคาเท่าไหร่ ไม่ได้สนว่าที่ดินข้างๆหรือใครจะซื้อจะขายกันเมื่อไหร่ ..ใช่!! คือผมอยากให้คุณนึกภาพเปรียบเทียบระหว่างคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการซื้อขาย เทียบกับคนที่เป็นเจ้าของที่รู้อย่างเดียวคือรู้ว่าที่ดินของฉันมีค่าเพียงใด ...เมื่อเวลาผ่านไปคุณเชื่อไหมว่า เจ้าของ (Landlord) รวยกว่า Broker ..แปลกไหม!! ..นี่เป็นเหตุผลที่ว่าคนที่รวยและมีอำนาจมากที่สุดในสังคมจะเลือกที่จะเป็น Landlord เพราะไม่ว่าสังคมจะเจริญไปแค่ไหน -- Asset หรือทรัพย์สินทุกอย่างในประเทศก็จะสูงขึ้นหมด ..ด้วยการที่ทุกอย่างเพิ่มก็หมายความว่าใครก็ตามที่ถือครอง Asset มากกว่า ย่อมรวยกว่า และย่อมรวยมากกว่าคนที่ซื้อๆขายๆที่ได้กำไรเพียงส่วนต่างและมักมีต้นทุนการซื้อสูงขึ้นเรื่อยๆเวลาตลาดเติบโต คือสุดท้ายซื้อๆขายๆ แต่พอขายแล้วได้กำไร ครั้นพอกลับมาซื้ออีกครั้งก็ต้องซื้อแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ...ใช่ !! Landlord ย่อมรวยที่สุดในระบบทุนนิยม แต่ปัจจุบัน เมื่อระบบทุนสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ ...Landlord ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ บริษัทในตลาดหุ้น ที่สามารถซื้อที่ดิน และถือครอง Asset ในจังหวะเวลาที่ดีกว่าคนธรรมดา เพราะบริษัทก็คือ องค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ 2 เป้าหมาย คือ หนึ่ง สร้างกำไรให้เจ้าของ และ สอง สะสม Asset ให้เจ้าของ -- ดังนั้นในระบบทุนปัจจุบันการถือครองหุ้น หรือ การออมในหุ้นที่คุณเป็นส่วนนึงของเจ้าชองบริษัท ก็เท่ากับว่า คุณคือ Landlord ยุคใหม่ ...ครับ!! ออมในหุ้นทำให้คนตัวเล็กๆอย่างคุณและผม มีโอกาสเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผูกขาดตลาดซึ่งเป็น Landlord ตัวจริงในยุคนี้ -- ใช่!! ครับ มันใหญ่แค่ไหน ผมและคุณก็ออมในหุ้นเป็นเจ้าของมันได้ ..แจ๋วไหมล่ะครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, February 11, 2014

หุ้นร้อนๆ และอาหารสำเร็จรูปในตลาดหุ้น มักจะห่วยเสมอ!!


"Menu แดกด่วนในการออมในหุ้น ..มันมักไม่แม่น ..ครับ!! การหาหุ้นแนวออมในหุ้นเราต้องเลือกเอง เพราะหุ้นแต่ละตัวที่จะถือแล้วห้ามขายมันหมายความว่า คุณจะต้องอยู่กับการถือหุ้นนั้นไปตลอดเสมือนกับมีลูกยังไงยังงั้น ...คำแนะนำของผมถือ พยายามเลือกหุ้นเอง แล้วเรียนรู้กับทางเลือกของตัวเอง ..Process การเรียนรู้ ตั้งแต่การศึกษา การเลือก และการถือจนมองดู Cycle การขึ้นลง ระหว่างรอการเติบโตของหุ้นตัวนั้น -- นี่แหละที่จะเป็น การเติบโตทางความคิดและการเรียนรู้ของตัวเราเองในแนวทางออมในหุ้น ..โอเค ก็ค่อยๆศึกษาต่อไปนะครับ ...ทุกเส้นทางต้องอาศัยเวลาและความอดทนกว่าที่เราจะไปถึงจุดหมาย ..ลุยครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Friday, February 7, 2014

สแตมป์เซเว่น และ เงินตราอนาคต แห่งอาณาจักรวานร !!


"คุณจะไม่สามารถเป็นนักลงทุนที่รวย หากไม่รู้จักว่าอะไรคือเงินจริงๆ -- คุณรู้จักความหมายของเงินจริงๆ แค่ไหน ..คุณรู้ไหมว่าสแตมป์ 7-11 ก็ถือว่าเป็นเงินชนิดหนึ่ง !! ...โอเค เงิน หรือ Money คือ สื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ซึ่งหน้าที่ Money ควรรักษามูลค่าของมันได้ไม่ว่าจะเก็บไว้นานเท่าไหร่ ในสมัยก่อนจึงใช้ ทองคำ แทน Money ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เพราะทองคำมีจำนวนจำกัด และทุกคนให้ค่าในทองคำ ..ต่อมาเงินกระดาษ Paper Money ถูกสร้างขึ้นมาใช้แทนทองเพราะสะดวกในการใช้มากกว่า โดยสมัยนั้นกำหนดว่า เงินกระดาษที่พิมพ์ออกมาต้องมีทองคำค้ำประกัน (Paper Money ในเวลานั้น จึงมีทองคำเป็นเครื่องการันตีมูลค่า) ..แต่หลังจากปี 1971 ประธานาธิปดี Nixon ได้ยกเลิก Gold Standard โดยเลิกการใช้ทองคำประกัน Paper Money มาใช้ 'หนี้'ของรัฐบาลอเมริกาเป็นตัวค้ำประกันมูลค่าแทนทองคำ ..ปัญหาคือ หนี้ที่ค้ำประกันมูลค่าเงินตั้งแต่ปี 1971 ของอเมริกามันโตขึ้นเรื่อยๆ จากประเทศอเมริกาที่เคยเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก วันนี้เปลี่ยนมาเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก เทียบตัวเลขง่ายๆ คือ วันนี้หนี้อเมริกาสูงกว่า 100% ของ GDP ซึ่งก็คือ อเมริกาเป็นหนี้เกินกว่าเท่าตัวของรายได้ของทุกคนในประเทศรวมกัน ..ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็เรียกว่า ใกล้จะล้มละลายเต็มทีแล้ว!! -- ผลที่ตามมาคือ เงิน มันเปลี่ยนสถานะจาก Money มาเป็น Currency เนื่องจากพอเปลี่ยนจากของที่มีอย่างจำกัดเช่นทองมาค้ำประกัน มาเป็นหนี้ที่ไม่จำกัด ก็ทำให้เงินมันถูกพิมพ์ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจนเงินเฟ้อมหาศาลอย่างที่เป็นอยู่ ...ดังนั้น ไม่แปลกที่ Curreny ซึ่งก็คือเงินกระดาษและเงินตัวเลขที่เราใช้ๆกันอยู่นี่จะลดมูลค่าในอัตราเร่ง ประกอบกับนโยบาย QE ในปี 2008 ที่อเมริกาพิมพ์เงินจำนวนมโหราฬอัดเข้าระบบการเงิน ก็การันตี เงินเฟ้อ และ การเพิ่มขึ้นอย่างสุดขีดของค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย รวมทั้งราคา Asset ทุกๆอย่างในโลกที่ราคาจะขึ้นอย่างน่าตกใจ -- ผลคือ คนรวยที่ถือครอง Asset ต่างๆ เช่น ที่ดิน , หุ้น , ทองคำ จะรวยขึ้น ๆ ..แต่คนจนที่มีแต่เงิน Currency ฝากธนาคาร จะมีแต่มูลค่าลดซวยขึ้นและจนลงทุกวัน ...ใช่ !! ทางเลือกหนึ่งของคนชั้นกลางที่อยากจะรักษามูลค่าของเงินเก็บที่หามาได้ ก็คือ การออมเงินใน Asset ..อย่างที่ผมย้ำมาตลอดก็คือ การออมในหุ้นปันผล ก็คือ ทางเลือกที่ไม่น่ามองข้ามครับ" ...ครับ ผมจะชี้ให้เห็นว่า เงิน ในยุคต่อไป ก็คือ Asset อย่างหุ้น เพราะสภาพคล่องสูง จำนวนจำกัด มีมูลค่าในตัวของมันเอง มีคนต้องการ แถมมีปันผล แล้วยิ่งเก็บราคายิ่งเพิ่ม ...ข้อเสียข้อเดียวของหุ้นดีปันผลสูง ก็คือ ราคามันแกว่ง -- การออมในหุ้นก็คือ การมองผ่านการแกว่งของราคา ไปดูที่ปันผลที่เพิ่มขึ้นและได้รับต่อเนื่องทุกปี ...แถมสุดท้ายมูลค่าก็มีแต่เพิ่มเพราะเคล็ดลับที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือราคาหุ้นดีในระยะยาวมันโตเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ..โตเกินจินตนาการ ก็คือ แปลว่าใครที่ออมหุ้นเป็นก็จะรวยเกินจินตนาการหากถือผ่านความผันผวนได้นั่นเอง" ...นี่แหละที่เขาว่าความรวยจนมันตัดกันแค่มุมมอง คนรวยเพราะมองได้ยาวนั่นเอง!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, February 6, 2014

เด็กอัจฉริยะที่ออมในหุ้น !!


"ออมในหุ้นต้องเงินจริง ยิ่งเด็กยิ่งดี เหมือนทำงานในยุคนี้ เริ่มเร็วยิ่งเก่ง เหมือนพวกฝรั่งที่เริ่มให้ลูกทำ Part-time ตั้งแต่เด็ก ...เรามักเทียบคนไทยกับฝรั่งแล้วมองว่าทำไมฝรั่งเขาเก่งกว่าเจริญกว่า พอมาเทียบกันตัวๆรายได้และฐานะของเขาก็ดีกว่าทั้งๆที่เราเรียนหนักกว่าเขา เดี๋ยวนี้เด็กไทยกวดวิชากันตั้งแต่ประถมยันมัธยม รวมเวลาเรียนของเด็กไทยผมว่าเขาเรียนหนักกว่าผู้ใหญ่ทำงานเสียอีก แต่ทำไมเห็นทีไร ฝรั่งก็เป็นหัวหน้าคนไทยทุกที ...ครับ!! ผมว่าสิ่งที่เราต้องปรับคือทัศนคติของพ่อแม่ที่ชอบเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน คือ ต้องการทางเดินแบบการันตีความสำเร็จ ปูทางทุก Step ตั้งแต่อนุบาลยันปริญญาเอก เพื่อเตรียมตัวสู่เส้นทางที่พ่อแม่วาดฝันไว้ ..ต่างอย่างสิ้นเชิงกับเด็กฝรั่ง ที่พ่อแม่ปล่อยให้เด็กลองผิดลองถูก ที่เด็ดกว่านั้นผมว่าคือค่านิยมที่ให้เด็กทำงานจริงๆตั้งแต่เด็ก เช่นไปทำงานเสริฟอาหาร , งานในซูเปอร์มาร์เก็ต ..พวกสิ่งเหล่านี้แหละที่เปิดโลกทัศน์ของเด็กว่าจริงๆ ทุกคนในโลกเขาไม่ได้รักเราแบบพ่อแม่นะ ซึ่งการฝึกเป็นลูกจ้างตั้งแต่เด็กมันสอนให้เขารู้จักค่าของเงินว่าจริงๆ แรงงานของเขามันแลกเงินได้เท่าไหร่ มันช่วยลดความฟุ้งเฟ้อในแบบเด็กลูกไฮโซในสังคมไทยที่เอาเงินพ่อแม่มาใช้ซื้อของอวดคนอื่นโดยไม่ได้รู้เลยว่ามันนั่งภูมิใจอะไรกันในการเอาหยาดเหงื่อของพ่อแม่มาประชันความหรูของตัวเอง ...ดังนั้น การฝึกทำงานจริงๆตั้งแต่เด็ก หรือ เริ่มลงทุนด้วยเงินจริงๆที่ออมจากเงินที่เก็บจากการทำงาน จะสอนให้เด็กคนนั้นรู้ค่าของเงิน สอนให้เขารู้จักโลกจริงๆว่ามันต้องรับมือและเรียนรู้กับความล้มเหลวระหว่างทางเดินของชีวิตอย่างไร" ...ครับ!! เริ่มทำงาน เริ่มลงทุน ยิ่งอายุน้อยยิ่งไดัเปรียบ ดังนั้น เริ่มเลย!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, February 5, 2014

มันถึงเวลาที่ผมต้องเปลี่ยนตัวเองจริงๆ ซะที ...เปลี่ยน !!


"หลายคนฟังคำแนะนำผมเรื่องการเริ่มออมในหุ้นและสร้าง Passive Income แล้วจิตตกเจียนตาย ก็ประเด็น หนี้บัตรเครดิต หนี้รถ และ หนี้บ้าน ..คือประมาณว่ากรูมี ทั้ง 3 หนี้เลย ทำไงฟระ ? ..ก็ใช่ไง !! พลาดไปแล้ว สร้างหนี้ไปแล้ว ทำไงล่ะ ? -- บอกตรงๆ นะ ไม่แปลกเลย คนส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้น สร้าง 3 หนี้ให้ตัวเองตกเป็นทาสในระบบทุนนิยมใหม่ (ทั้งๆที่เขาเลิกทาสมาตั้งนานแล้ว ยังจะเอาตัวเองมาเป็นทาสทั้งที่ความรู้สูง) ..ใช่!! คุณไม่ได้โง่หลอกแต่มันเป็นกับดักปัญญาชนที่เขาวางล่อด้วยอีโก้ ล่อด้วยหน้าตา ศักดิ์ศรี ล่อด้วยความไฮโซ ซึ่งผ่านยาก ...เงินที่คุณเป็นหนี้ ทั้ง 3 อย่าง หนี้บัตรเครดิต หนี้รถ หนี้บ้าน เป็นโซ่ล่ามทั้งชีวิตคุณเลย ให้คุณติดกรอบ เพราะหลงนึกว่า คุณค่าของตัวคุณคือ การมีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา บ่งบอกความสำเร็จ ...จริงๆ ไม่ใช่เลย เงินที่คุณเอามาผ่อนหนี้เหล่านี้แหละ ที่เหมาะจะเอามา    สร้าง Port ออมในหุ้น ..แล้วเมื่อวันนึง รายได้จากการออมในหุ้นซึ่งก็คือเงินปันผลที่หุ้นจ่ายเราทุกปีที่เรียกว่า Passive Income มันมากเกินค่าใช้จ่ายจำเป็น -- หลังจากนั้นแหละครับที่คุณถึงจะค่อยเริ่มซื้อ รถยนต์บอกฐานะ บ้านที่โอเค เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่บอกความสำเร็จ เพราะเราสำเร็จจริงๆจากการมี Passive Income มากกว่ารายจ่ายไง ..ทางแก้อาจจะฟังดูโหดนะ ก็คือ พิจารณาก่อนเลยว่าบ้านที่อยู่ เกินฐานะไหม ..มันไกลที่ทำงานแล้วทำให้เราเสียค่าเดินทางไหม ..คือลองคิดรอบๆด้านว่าบ้านที่เราผ่อนอยู่ มันเป็น Asset หรือ เป็นหนี้สินที่เป็นบ่อเกิดให้ชีวิตติดบ่วง เช่น บ้านไกล ก็เลยต้องซื้อรถสร้งหนี้เพิ่ม แล้วก็ค่าเดินทางเพิ่ม โรงเรียนลูกก็ไกล น้ำมันก็กำลังจะโคตรแพงขึ้นเรื่อยๆ คือ ยิ่งมองยิ่งซวย ...คำแนะนำคือ รีบขายบ้านหลังนั้นซะในช่วงที่ตลาดยังไม่พัง เพราะคุณรู้ไหมคนที่เป็นแบบคุณก็คือคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ..แล้วคุณไม่คิดหรือว่า เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้นสูงอีก คุณและคนส่วนใหญ่ที่ตกในสถานะอย่างคุณจะไม่ซวย ..ซวยซิครับ มันจะไปถึงจุดที่ทุกคนเริ่มผ่อนหนี้ไม่ไหว เกิดภาวะตลาดบ้านพัง เหมือนอเมริกาปี 2008 ที่คนอเมริกา Default ในหนี้บ้าน ..ใช่!! ปัญหานี้ไม่ใช่แค่คนไทย มันเป็นทั้งโลก -- ทางแก้คือ ขายบ้าน ขายรถ ขายของไม่จำเป็นก่อนที่ตลาดจะไปไม่ไหว แล้วจ่ายหนี้คืนซะ จากนั่นเริ่มชีวิตใหม่ วางแผนจากศูนย์ใหม่ คือ สิ่งแรกที่เราต้องสร้างให้ชีวิตคือ Passive Income เช่น ออมในหุ้นปันผลสูง , มีอสังหาให้เช่า , มีรายได้จากอาชีพเสริมเช่นขายตรงก็ได้ , มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์เช่น เขียนหนังสือ , เขียน Application , เปิดร้าน Online , สร้างรายได้จาก Internet ...คือ พอเราไม่เป็นหนี้ เราจะไม่เครียด เราจะไม่มีปัญหาทะเลาะกันในครอบครัว เราจะมีเวลาไปคิดหารายได้เสริมมากขึ้น ....ครับ !! ทุกคนเริ่มใหม่ได้เสมอ ความผิดพลาดคือครูที่ดี แต่คุณต้องกล้าที่จะเริ่มใหม่ -- คุณจะใช้ชีวิตแบบเป็นทาสหนี้แล้วเดินเข้าสู่ทางตันแบบคนส่วนใหญ่ หรือ คุณจะทนเจ็บปวดชั่วคราว ปรับชีวิตใหม่ แล้วกลับหลังหันเดินไปอีกทางที่สดใส ...บทความนี้โหดครับ!! เพราะคนส่วนใหญ่ สิ้นหวังไปแล้วกับการยอมเป็นทาสหนี้ที่พาชีวิตครอบครัวสู่ทางตัน แต่คุณลืมไปว่า เราเริ่มชีวิตใหม่ได้ทุกวัน ถ้าเรากล้าที่จะเริ่มครับ!!" ...ลองคิดด้วยตัวเอง แล้วเลือกทางเดินที่คุณคิดว่ามันใช่สำหรับคุณ ผมเอาใจช่วยครับ!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, February 4, 2014

ออมในหุ้นให้รวย ต้องทนได้ 10 ปี ..มันเลยยากไง !!


"อยากให้ตัวเองหลุดจากความเป็นทาสในระบบทุนนิยมไหม ? ..เฮ้ย!! ยุคนี้เขาเลิกทาสไปนานแล้ว ...เลิกบ้าอะไรเล่า ไอ้พวกทาสยุคนี้ ก็พวกที่สร้างหนี้มาล่ามโซ่ตัวเองไง -- จุดเริ่มของทาส เกิดจาก ความอยากและความไม่เจียมตัว ทางแก้คือ เลื่อนความอยากออกไป (ไม่ได้บอกให้ตัดความอยาก แต่ให้เลื่อนมันออกไปเท่านั้น) จากนั้น ก็สร้างเครื่องผลิตเงินส่วนตัว จากการออมในหุ้นปันผล ...สิ่งที่คุณต้องเจอคือ สายตาดูถูกจากเพื่อนๆของคุณว่าคุณมันไม่ไฮโซ -- แต่เชื่อไหมหวังจาก 10 ปีที่คุณออมในหุ้น (ผ่านการขึ้นลงครบ Cycle ครบรอบของหุ้นนั้นๆ) คุณจะเป็นคนที่มีความภูมิใจในตัวเองมาก ที่คุณไม่เป็นหนี้ แล้วก็มีแต่ Passive Income และอยู่ในสังคมแบบไม่ต้องขอใครกิน ไม่ต้องก้มหัวให้ใคร ..ใช่!! ไม่เห็นต้องไฮโซ แต่เราแค่คนจริงเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไฮโซในคราบทาสบัตรเครดิต ทาสหนี้ -- เคล็ดลับคือ อย่าไปใช้บัตรเครคิด มันของไฮโซ(ปลอม)ให้เขาใช้ไป อย่าไปกู้ในเวลาที่เรายังไม่มี Passive Income แต่กู้ได้ถ้าเรามี Passive Income มากกว่ารายจ่ายแล้ว ...คิดได้แบบนี้ คุณจะเป็นไท ไม่เป็นทาสของระบบทุนนิยม ...แจ๋วจะตาย!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, February 3, 2014

คนออมในหุ้น ไม่เห็นต้องกลัวฝรั่ง !!


"ผมไม่เคยกลัวฝรั่ง ..หลายคนพูดว่าเราเสียเปรียบฝรั่ง แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย ..ฝรั่งเขาหลอกได้แต่คนโลภเท่านั้นแหละ แต่หลอกคนที่ลงทุนแนวออมในหุ้นแทบไม่ได้เลย เพราะคนออมในหุ้นจะซื้อหุ้นโดยมองที่ปันผลสูง แล้วคิดง่ายๆ ว่าหุ้นที่ปันผลสูงก็หมายความว่ามันไม่ได้แพง เช่น หุ้นราคา 10 บาท ปันผลปีละ 1 บาท นั่นแปลว่า ถ้าถือแล้วไม่ขาย 10 ปีก็จะได้เงินต้นคืน หลังจากนั้นก็จะมีแต่กำไร ...ถูกต้อง!! ฝรั่งมันสวนตูดเราได้ ต่อเมื่อเราซื้อๆขายๆเท่านั้น เพราะฝรั่งจะปั่นให้หุ้นราคาขึ้นจากนั้นก็ล่อรายย่อยให้ซื้อหุ้นแพงๆตอนเขาทิ้งจากดอย ยิ่งฝรั่งทิ้ง รายย่อยยิ่งรับ 'รายย่อยจะติดหุ้นขาลงนั่นแหละ' (จุดที่หุ้นแพง เป็นจุดที่ปันผลน้อย คนออมในหุ้นจะไม่ซื้อ ดังนั้น ฝรั่งหลอกเขาไม่ได้) ..จากนั้นฝรั่งก็ทุบหุ้นออกของเป็นรอบๆ รายย่อยส่วนใหญ่ก็มักรับหุ้นขาลงจากฝรั่งแล้วก็ติดหุ้น (คนที่ออมในหุ้น อาจใช้จังหวะที่ฝรั่งทิ้งของ แล้วรอจุดที่กราฟหุ้นภาพ Week หรือ Month แตะ Oversold แล้วดูปันผลประกอบว่าได้ 5% ขึ้นไป ..ก็นับว่าเป็นจุดที่ทยอยเก็บยาวๆได้) ...ใช่!! คนที่เสียเปรียบทุนฝรั่งก็คือคนที่ Trade หุ้นแข่งกับฝรั่ง ...แต่คนที่ซื้อออมหุ้น ไม่ได้สนใจส่วนต่างของราคา แต่สนเพียงว่า สามารถซื้อหุ้นเมื่อมูลค่าเหมาะสม มีปันผลคุ้มค่า จากนั้นเก็บออมหุ้นนั้นให้เป็นเครื่องผลิตเงินให้เขาชั่วชีวิต"..ใช่!! คนออมในหุ้น ไม่เคยกลัวฝรั่ง แต่ฝรั่งกลัวเราเพราะเราฉลาดและไม่โลภ เราพอเพียง แล้วรวยครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Sunday, February 2, 2014

การใช้ Robot ก็เป็นอีกแนวทางในการออมในหุ้น !!


(อีกแนวของการ ออมในหุ้น คือ ใช้ Robot !!.. เป็นแนวทางใหม่ ที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยหลักการ Limit Loss & Let Profit Run 'ความเสี่ยงจำกัด ผลตอบแทนไม่จำกัด') 
"มีหลายท่านถามผมเรื่องการใช้ Robot บริหาร Port ให้ลูกค้า ที่ผมร่วมดูแลในหลักทรัพย์บัวหลวง ว่ามันคืออะไร? ..พอเจอวิกฤตแล้วผลงาน Robot เป็นยังไง ดีหรือแย่กว่ามนุษย์บริหาร? ..ข้อดี ข้อเสีย และ ผลตอบแทนเป็นยังไง?" ...ครับ ในส่วนของ Robot ก็คือ การเขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ซื้อขายหุ้นดูแล Port แทนเราแบบอัตโนมัติ (คล้ายๆ Private Fund นั่นแหละครับ) ..ข้อดีคือ มันเป็น Money Work for you "เงินทำงานให้เรา" ในรูปแบบนึงเพราะเจ้าของเงินไม่ต้องทำอะไร วางเงินเฉยๆ ..ข้อเสีย คือ ต้องมีความเข้าใจในหลักการ!! เพราะ Port จะผันผวนในแบบ Trader Style มีโอกาสที่เงินจะ Draw Down คือ เงินใน Port ลดลงได้ถึง 20% ( เงิน 1 ล้านอาจลดลงเหลือ 800,000 บาทได้ ในบางจังหวะ ที่หุ่นยนต์ Cut Loss แล้วถือเงินสดเพื่อรอเข้าในขาขึ้นของหุ้นในรอบต่อๆไป) ..แต่สุดท้ายด้วยค่าเฉลี่ย Port ก็จะกลับมากำไรในที่สุด หากเราเชื่อสมมุติฐานว่า "หุ้นมีขึ้นมากไป และ หุ้นก็มีลงมากไป เท่านั้นเอง" ..ดังนั้น การลงทุนในแบบ Robot (แนว Trader) ก็อาศัย "เวลา" เหมือนการลงทุนในแบบอื่นๆ ..และข้อจำกัดของการลงทุนแบบนี้คือ เงินเริ่มต้นของคนที่จะใช้ Robot บริหาร Port ต้องเริ่มที่ 5 ล้านบาท และมีค่า Fee ที่สูงกว่ากองทุนปกติ แต่จะต่างตรงที่ จะคิด Fee ก็ต่อเมื่อเมื่อ Port กำไรเท่านั้น ไม่ได้คิดค่า Fee บนเงินต้นเหมือนกองทุนทั่วๆไป ..ใครสนใจติดต่อได้ที่ทีม iProgramtrade ของหลักทรัพย์บัวหลวง หรือ ติดต่อคุณอ้อม Robot 'FRT' ที่เบอร์ 
หรือ 02-618 1425 ครับ ในส่วนของ Performance ของ Robot ว่าเจ้า FRT บริหารเงินจริงๆ ดีหรือแย่อย่างไร ? -- ดูได้ที่เว็บของ FRT อันนี้ www.fortune.co.th (ภาพที่แนบคือ ผลงานจริงของลูกค้าที่ใช้  Robot ของ FRT ผ่านตลาดปรับฐานรุนแรงในปีที่แล้ว)

เรียนรุ่นใหม่ ..ต้องกล้าพอ !!


"ค่านิยมเรื่องการศึกษากับการรู้จักออมในหุ้น !! ..วันนี้ค่านิยมเรื่องการล่าใบปริญญา และการให้ลูกเรียนให้ดีที่สุดและสูงที่สุดในระบบการศึกษา ทำให้ตัวเลขค่าใช้จ่ายใหม่ของการส่งลูก ตั้งแต่เกิดจนจบปริญญาในสายอินเตอร์ แตะมูลค่ารวม 20 ล้านบาท ..แม่เจ้า!! ค่านิยมนี้ของคนไทยอาจลืมไปว่า เงินเดือนเริ่มต้นของคนจบปริญญาโทเมืองนอก มันเริ่มที่ สองหมื่นกว่าบาท ..ถ้าเทียบนี่เป็นการลงทุนก็เหมือนกับค่านิยมการใช้กระเป๋าใบละล้านมาเดินโชว์ เพื่อดูดี แต่ไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งาน หรือ ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของคนถือ ซึ่งก็คือ ความสุขที่เกิดจากการครอบครอง ...โอเค คุณว่าในต่างประเทศที่เจริญแล้วเขาให้ค่าใบปริญญาและสถาบันเท่ากับบ้านเราไหม ? -- ครับ!! ไม่ใช่เลย ในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มีการศึกษาที่แท้จริงจะเห็นได้ว่า เขาให้คุณค่าของ การสร้างความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพ มากกว่าใบปริญญา เพราะทุกอาชีพที่นั่นไม่มีคำว่าอาชีพชั้นต่ำ ผู้เชี่ยวชาญในทุกสายอาชีพเป็นเศรษฐีได้หมด ..ใช่!! คนงานก่อสร้างในต่างประเทศยังเป็นเศรษฐีได้ หากคนงานก่อสร้างคนนั้นๆ มีความเชี่ยวชาญในอาชีพที่ตัวเองทำ ...การมุ่งให้เด็กค้นหาตัวเองว่าอยากทำอาชีพอะไร เด็กคนนั้นๆ รักที่จะทำงานอะไร รวมทั้งการเปิดกว้างทางโอกาสให้เด็กคนนั้นๆได้ทดลองจริงๆว่า อาชีพที่อยากจะทำในอนาคตเขาชอบและเชี่ยวชาญจริงๆหรือเปล่า โดยการฝึกงานระหว่างเรียน การทำระบบ Apprenticeship ที่ให้เด็กคนนึงเรียนอาชีพจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในแบบ On the Job Learning คือ เรียนไปทำงานจริงไปด้วย -- ครับ!! ใบปริญญาไม่ใช่ทุกอย่างที่ใช้ตัดสินคน แต่ระบบการศึกษาที่เปิดกว้างให้เด็กได้รู้ว่า ตัวเองรักที่จะทำอะไร และ การพัฒนาความเชี่ยวชาญจริงๆ ในแต่ละสายอาชีพต่างหากล่ะที่ชี้วัดความสำเร็จ ...ใช่!! ถ้าคุณเป็น สุดยอดในอาชีพของตัวเอง ไม่ว่าอาชีพใด ผมเชื่อว่าคุณรวยได้หมด -- แม้ว่าวันนี้ระบบการศึกษาและค่านิยมของไทย ไม่ได้เปิดโอกาสแบบที่ผมพูด แต่เราเองเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาสในวันนี้ได้เลย โดยสร้างความเชื่ยวชาญ ศึกษาและลงมือทำงาน ในสายอาชีพของตัวเองให้รู้ลึก รู้จริง ..ด้วยเวทีที่วันนี้คนรุ่นใหม่ สามารถสร้างได้เองอย่าง Social Media ในปัจจุบัน ที่เปิดกว้างและฟรี ..คุณสร้างเวทีให้ตัวเองได้ หากคุณสุดยอดในเรื่องที่ตัวเองเลือกทำ ..ลุยให้สุดครับ อยากทำอะไรต้องเป็นสุดยอดให้ได้ แล้วท่องไว้ 'ให้ก่อน แล้วค่อยรับ' -- รุ่งแน่ ผมเอาใจช่วยครับ!!" ...แล้วเรื่องออมในหุ้นนี่ มันคือทุกอาชีพสามารถเริ่มสร้างเครื่องผลิตเงินส่วนตัวไปพร้อมๆกับ การสร้างความเชี่ยวชาญในสายอาชีพของตัวเองในเวลาเดียวกัน -- เก่งและรวย ด้วยตัวเอง ทำได้น่า !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Saturday, February 1, 2014

คนรวยก็จนได้ ถ้าไม่เข้าใจเกมการเงินในโลกยุคใหม่


"ลูกคนรวยก็จนได้ ถ้าออมในหุ้นไม่เป็น รู้จักแต่ผลาญเงิน แล้วหาเงินไม่เป็น ..สุดท้ายทรัพย์สมบัติมรดกมีมากแค่ไหนก็หมดอยู่ดี ..ไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอก ไม้ต้องไปแช่งเขา ..นี่เป็นเหตุผลนึงที่ความรวยส่งต่อได้ไม่เกิน 3 Generation เพราะรุ่นพ่อหาเป็น รุ่นลูกหาไม่เป็น ใช้เก่ง ..รุ่นหลานใช้โคตรเก่ง หาไม่เป็นเลย สุดท้ายหมด -- ดังนั้น โลกนี้แม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นได้ ..คนฉลาดต้องเลือกที่จะใช้ให้น้อยกว่าที่หา จากนั้นเลือกการวางเงินอย่างฉลาด คือ วางในที่มีรายได้ประจำ เช่น การออมในหุ้นปันผล ..สุดท้ายก็อดทน ผ่านความผันผวนต่างๆ อดทน เปิดใจเรียนรู้ ..ผมเข้าใจนะ โจทย์ของการซื้อหุ้นปันผลอย่างเดียวแล้วไม่ขายชั่วชีวิตมันฟังดูยาก เพราะราคาหุ้นผันผวนสุดขีดตลอดเวลา
แต่แก่นแท้ของมันคือ การมองผ่านราคา แล้วเห็นมูลค่าที่แท้จริงๆของหุ้นทุกตัวที่เราจะออม จะเป็นเจ้าของ ..ใช่!! จังหวะซื้อต้องฝึกฝน เพราะซื้อแล้วห้ามขาย ต้องซื้อได้ในจุดที่ดีเลยทีเดียว ..ก็ลองศึกษาจัดไป ทางเส้นนี้แม้ไม่ง่ายแต่ก็สามารถทำได้ หากมีความเข้าใจและความอดทน"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, January 30, 2014

เลือกหุ้น 5 ตัวให้ผมออมหน่อยครับ ..."เอาจัดเลย !!"

หลายคนที่ถามผมว่า ขอ 5 ตัว ที่ออมแล้วรวย เอามาเลย ..ให้ฟังคำแนะนำนี้ครับ !! -- ถ้าไม่เข้าใจแต่ละบริษัทลึกๆ มันเสี่ยงเกินไปที่ผมจะให้หุ้นรายตัว (คือ ที่คุณขอหุ้น เพราะคุณอยากจะหาใครมาโทษ หากหุ้นที่เลือกมันไม่ได้ดีดังใจ ซึ่งหลักการออมหุ้นมันไม่ได้สำคัญที่ตัวหุ้น แต่มันสำคัญที่วิธีการต่างหาก) ดังนั้นแทนที่จะ Focus ที่ตัวหุ้นว่าตัวไหน ให้เปลี่ยนมาใช้วิธี Random Pick แล้วมา Focus ที่การซื้อแบบ Portfoli...o แทน ดังนี้ ..หลักการที่ผมแนะนำสำหรับคนที่อ่าน Fundamental และ Technical ไม่เป็นคือ ให้หาหุ้นปันผลดี 10 ตัวที่ปันผล 5-10% เลือกแบบสุ่ม(ใส่สุ่มขึ้นมาเลย ที่ปันผลสม่ำเสมอ 5-10 % ต่อปี) แล้วไม่ต้องไปดูการขึ้นลง ..จากนั้นถือไว้ 5 ปีขึ้นไป ...ดูแต่ปันผล -- แค่นี้ Port น่าจะเพิ่มขึ้น 50% ขึ้นไปแบบชิวๆในช่วงเวลาดังกล่าว รวมกับปันผลทุกปี ก็งดงามแล้ว (วิธีการนี้จะได้ผลตอบแทนประมาณ 15% ขึ้นต่อปี ซึ่งดีกว่ากองทุนส่วนใหญ่ในตลาดครับ) ..ลองคิดดูดีๆ วิธีการง่ายๆแบบไม่ต้องมีความรู้มาก จะช่วยให้ Port คุณโตเท่าตัว ทุกๆ 3-4 ปีไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต(แค่นี้ก็โคตรรวยแล้วครับ) พูดง่ายๆว่าคุณซื้อแล้วไม่ต้องมามองว่าราคามันจะแกว่งอย่างไร ปล่อยเงินทำงานไปเรื่อยๆ ตัวคุณก็ Focus ทำงานทำอาชีพของคุณต่อไป นี่แหละครับ เหมาะมากสำหรับผู้เริ่มต้น และ มนุษย์เงินเดือนที่อยากวางเงินให้ทำงานครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

คนรวยไม่ใช่ต้องโลภ แต่ตัดความโลภได้ต่างหากจึงจะยิ่งรวยนะ ..คิดดีๆ


"ผมได้ยินบ่อยๆ ว่าคนรวยคือคนโลภ ถ้าจะเป็นคนดีต้องไม่รวย ..เฮ้ย!! ไม่ใช่มั้ง ..คุณรู้จักการออมในหุ้นไหม มันคือ การตัดเงินส่วนนึงในชีวิตอย่างสม่ำเสมอ และมีวินัย เอาไปวางหรือลงทุนออมหุ้น ซึ่งก็เหมือนการปลูกต้นไม้เลี้ยงตัวเราในอนาคต โดยที่ไม่สนว่าราคาหุ้นจะแกว่งแค่ไหนก็ตาม เราก็มองว่าต้นไม้ต้นนี้วันนึงจะให้ผลเรากินยามที่เราเกษียณ ...ประการแรก คนที่ตัดเงินส่วนนึงจากเงินเดือนทำแบบนี้ได้ เขาต้องเป็นคนมีวินัย ..ประการที่สอง หากใครสามารถซื้อหุ้นแล้วไม่ขายชั่วชีวิต โดยไม่สนว่าราคาจะแกว่งขึ้นลงแค่ไหน ..เฮ้ย!! ผมว่าคนนี้ไม่ใช่คนโลภนะ และเขาน่าจะเป็นคนที่เข้าใจโลก และเข้าใจคนอื่น รวมทั้งเข้าใจความโลภความกลัวของตัวเองอย่างดีทีเดียว ..ประการที่สาม คนที่ทำแบบนี่ได้ ต้องมีความรู้จริงๆ และมีความอดทนสูงมากๆ ถือเป็นคนคุณภาพได้เลยล่ะ -- ผมเชื่อว่าแค่สามข้อนี่ก็ไม่น่าจะแปลกถ้าท้ายสุด คนที่ออมในหุ้นคนนี้จะรวยและเป็นเศรษฐีคนนึงในอนาคต ..ใช่ !! จะเป็นเศรษฐีที่สร้างตัวจากตัวเองต้องมี ปัญญา + เวลา (ความอดทน) จึงเท่ากับความมั่งคั่งของแต่ละบุคคล ....คนรวยรุ่นใหม่ ที่สร้างตัวเอง เขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนโลภ เพราะตัดโลภ จึงจะสามารถออมในหุ้นและรวยได้ไงล่ะ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, January 29, 2014

งานหรือธุรกิจส่วนตัวของคุณคือความมั่นคงในชีวิตหรือเปล่า


"หลายคนคิดว่าการมีเงินเดือน หรือ การมีธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ คือ ความมั่นคงในชีวิต ..ไม่จริง!! ผมว่า การออมในหุ้น ให้เราเป็นเจ้าของส่วนเล็กๆในบริษัทใหญ่ๆที่ปันผลสม่ำเสมอในตลาดหุ้นต่างหาก ที่เป็นความมั่นคงในชีวิตมากกว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆหรือการเป็นลูกจ้าง... ครับ!! แต่ก่อนผมก็ฝันจะมีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเอง แต่พอมีแล้วพบว่าชีวิตเครียดกว่าเดิม ทำงานหนักมากกว่าลูกน้องหลายเท่า ไม่เคยมีวันหยุดสำหรับเจ้าของธุรกิจเล็ก มันเหนื่อยเกินกว่าจะมีเวลามานั่งภูมิใจในชีวิต ..จากนั้นพอลองมาเป็นลูกจ้างดูบ้าง ก็พบว่าความอิสระในชีวิตหายไปเพราะต้องขายเวลาชีวิตที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อแลกกับเงินเดือนที่จริงๆ ไม่ได้มีความมั่นคง เพราะถ้าเลิกทำงาน เงินเดือนก็จะหมดไป อย่าหวังบำเหน็ด บำนาน ซึ่งเดี๋ยวนี้แทบไม่มีแล้ว -- ใช่!! จุดเปลี่ยนความคิดพบคือ การออมในหุ้นที่เปิดโอกาสให้ผมได้เป็นเจ้าของส่วนเล็กๆ ในบริษัทใหญ่ๆ ที่ปันผลดีต่อเนื่อง มันทำให้ผมรู้เลยว่า ถ้าวันใดที่ผมเกษียณผมก็ยังเป็นเจ้าของเล็กๆในบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งจะปันผลให้ผมเรื่อยๆจนผมตาย -- นี่แหละความมั่นคงในชีวิตผม ที่สร้าง Passive Income จากการออมในหุ้น ที่ไม่ได้สนว่าจะต้องซื้อๆขายๆเก็งกำไรไปวันๆจากตลาดหุ้น ..สุดท้ายผมหาเงินได้เท่าไหร่ ผมก็หาจังหวะเข้ามาออมในหุ้นเรื่อยๆ ..วันนึงเมื่อเงินปันผลใน Port หุ้นที่ผมถือ มันมากกว่าเงินเดือน วันนั้นผมก็จะมีอิสรภาพทางการเงินครับ" ..อดทนต่อไป ทาเคชิ ..ฮ่า ฮ่า
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, January 28, 2014

คนที่รวยที่สุดในเกม ...จุดเปลี่ยนการออมในหุ้น



"ดึงเงินออก ใส่เงินเข้า เจ้าของหุ้น กับจุดเปลี่ยนเรื่องการออมในหุ้นของตลาดหุ้นไทย !! ..สมัยก่อนตลาดหุ้นคือที่สำหรับเจ้าของอยาก exit อยากขายธุรกิจตัวเอง ก็เอาธุรกิจมาจดทะเบียนในตลาดหุ้น ..หรือไม่ก็จดทะเบียนมหาชนเข้าตลาดแล้วก็ไซฟ่อนเอาเงินออกนอกประเทศ หลบๆซ่อน จ่ายส่วยเพื่อแอบเอาเงินออกจากบริษัท พวกนี้ก็คือฝรั่งหัวดำ ..แต่วันนี้ผมเห็นจุดเปลี่ยนของตลาดหุ้น คือ เจ้าของหุ้นเริ่มไปเห็นตลาดหุ้นที่เขาเจริญแล้วอย่างอเมริกาว่า การสร้างความรวยที่แท้จริงไม่ใช่การดึงเงินไซฟ่อนออกจากบริษัท แต่เป็นการเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ดันเข้าบริษัทให้งบการเงินดี ปันผลดี บริษัทก็เติบโตยิ่งใหญ่ สุดท้ายหุ้นขึ้นเป็นสิบๆเป็นร้อยๆเท่า แล้วเวลาหุ้นขึ้นคนที่รวยเยอะที่สุดไม่ใช่ Broker ไม่ใช่กองทุน ไม่ใช่ Hedge fund พวกนั้นเป็นแค่เห็บ !! ..คนที่รวยสุดเมื่อหุ้นขึ้นก็คือ เจ้าของไง ..วันนี้เจ้าของที่ฉลาดจึงถึงบางอ้อว่า เลิกไซฟ่อนดีกว่า แล้วหันกลับมาทำให้ธุรกิจดีแล้วรวยจากหุ้น มันรวยยั่งยืนกว่า ...พอเจ้าของอยากได้เงิน ง่ายๆ ก็ขายหุ้นบางส่วน ก็ได้เงินแล้ว ..ภาษีก็ไม่เสียเพราะ Capital Gain จากการขึ้นของราคาหุ้นมีไม่กี่ที่ในโลกเท่านั้นแหละที่ไม่เก็บภาษี ..ใช่!! ผมกำลังจะชี้ให้คุณเห็นว่า Tax Haven สำหรับคนรวยใน AEC ที่แท้จริง และ กำลังจะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ทั้ง Logistic และ การเงิน ก็คือ ประเทศไทย -- นี่แหละเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงออมในหุ้นที่บริษัทที่เจ้าของเลิกไซฟ่อน หันมาทำธุรกิจให้ดี ปันผลให้สูงต่อเนื่อง เพราะหุ้นแบบนี้อีกหน่อยมันโตเป็นร้อยเท่าพันเท่า ทั้งเจ้าของหุ้นใหญ่เขาก็รวย และเจ้าของเล็กๆอย่างคนออมในหุ้นอย่างผมก็รวยตามครับ" ...ใช่!! คุณเองก็เริ่มเป็นเจ้าของหุ้นเล็กๆ แบบผมได้ หากคุณเริ่มต้นศึกษาและฝึกการออมในหุ้น ..จัดไป!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, January 27, 2014

กู้ ๆ ๆ หรือจะสู้ Passive Income จากการออมหุ้น


"การที่คนๆนึงจะสามารถออมในหุ้นได้ คนๆนั้นต้องเข้าใจการใช้เงินอย่างเข้าใจเสียก่อน ..คุณใช้เงินเพื่ออะไร คุณเข้าใจตัวคุณเองหรือยัง? -- ครับ!! ผมคุยกับหลายๆคนพบเลยว่า ทั้งๆที่การออมในหุ้นมันคือใบเบิกทางให้คนๆนึงสามารถมีอิสรภาพทางการเงิน หรือมี Passive Income ที่เลี้ยงตัวเองหลังเกษียณได้ แต่ปัญหาคนส่วนใหญ่คือไม่สามารถมองวางแผนอนาคตได้ขนาดนั้น เพราะ 'วันนี้เงินใช้ยังไม่พอแดกเลย!! เออ เดือนชนเดือน บัตรเครคิตติดหนี้ หนี้ๆ ๆ หัวบาน (กรูคือทาสยุคใหม่แห่งระบบทุนนิยม หนี้ก็คือโซ่ล่ามกรู ส่วนตัวกรูคือทาสในเรือนเบี้ย ...โห!! โคตรรันทด) ...ฮึม!! คุณว่าปัญหาติดหนี้จนตัวเป็นทาส เป็นความผิดของคนอื่น หรือความซวยของตัวเรา -- ไม่ใช่ซิ เพราะทั้งสองอย่างมันแค่ข้ออ้าง เพราะคนที่เป็นหนี้ ๆ ๆ เพราะ เขาสร้างหนี้เอง ..ย้อนไปอีกทีสมัยเด็กๆ ทำไมไม่เป็นหนี้ล่ะ ..อ๋อ ก็เพราะตอนเด็กๆ ยังกู้ไม่ได้ไง ยังมีบัตรเครดิตไม่ได้ ดังนั้น ตอนเด็กๆ ก็ขายตัวแลกกระเป๋า Prada ไปก่อน ...แต่พอโตขึ้นเพราะสามารถกู้ได้ ก็เลยกู้ได้ ก็เลยซวยไง เลยเป็นหนี้ ๆ ๆ ...วิธีแก้ต้องกลับมาที่ต้นเหตุคือ การใช้เงิน ...คือ คนเราอย่างแรก แน่นอนมันเกิดมาไม่เท่ากัน มันต้องรู้จักเจียมตัวก่อน ถ้าเกิดมาจนอย่ามาสะเออะถือกระเป๋าแพงๆ ขับรถดีๆ มันต้องอดทน มันต้องผัดวันประกันพรุ่งความอยาก ..คือ ทุกอย่างของหรูๆ มันมีได้ แต่มันต้องซื้อเมื่อพร้อม ไม่ใช่ไปกู้มาซื้อ กู้ซื้อของหรู เอาบัตรเครดิตซื้อกระเป๋าแล้วผ่อน กู้ซื้อรถเท่ห์ๆ นี่คือความคิดของคนโง่ไง ที่สุดท้ายพาตัวเองเข้าสู่วังวนของหนี้ ๆ ๆ ...ใครมีน้องให้สอนน้อง แต่ถ้ามีลูกไม่ต้องสอน เพราะลูกไม่เคยฟังพ่อแม่ เอาหนังสือผมให้ลูกคุณอ่าน มันจะได้โดนความคิดตบหน้าบ้าง สะใจดี -- ครับ!! วันนี้ใครยังมีโอกาส เช่น เด็กจะจบใหม่ จะเริ่มทำงานให้เอาวิธีคิดเรื่องการออมในหุ้น สร้าง Passive Income สอนเขาตั้งแต่เริ่มทำงาน อย่ามัวรอจนเป็นหนี้หัวบานเพราะนั่นเกินแก้แล้ว ...คนไทยวันนี้ทั้งประเทศเป็นหนี้เพราะหนึ่ง ผัดวันประกันพรุ่งความอยากไม่เป็น และสอง ไม่รู้วิธีวางเงินให้ทำงาน เพราะจริงๆแล้ว คนทุกคนรวยได้ สร้างตัวได้เอง หากใช้ให้น้อยกว่าที่หา จากนั้นเอาเงินที่เหลือทยอยลงทุน เช่น ออมในหุ้น -- ถ้าทำได้ตาม Concept ออมในหุ้นที่ผมสอน ..สุดท้ายชีวิตคุณจะมีทุกๆอย่างที่เคยอยากมี เพราะสุดท้ายพอคุณมี Port การลงทุนที่สร้าง Passive Income คุณก็เอา Passive Income นั่นแหละมาซื้อของหรูๆ ที่คุณเคยอยากจะได้ จะซื้อกระเป๋า Hermes หรือ รถ Ferrari ด้วยเงินที่คุณสร้างเอง ผมว่ามันน่าภูมิใจกว่า ..ออมในหุ้นปันผลสูง หรือ ออมใน Asset ที่สร้างรายได้ คือ Passive Income ที่จะยกระดับคุณสู่เศรษฐีที่มีปัญญา และ Self-made"... เงินกรู กรูรวย เพราะกรูมีปัญญา และมีความอดทน !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด : หนังสือเล่มใหม่ ภาววิทย์ ปี 2014 ครับ


ตรุษจีนนี้เจอกัน !! ...หนังสือ เล่มใหม่ของผม "แกะรอยหยักชีวิต : Filter ความคิด" วางแผงทุกสาขา SE-ED ภายในวันศุกร์ที่ 31 มกราคมนี้ครับ ...พบกับรูปแบบหนังสือแนวใหม่ กระชากมุมมอง 2 ด้านทั้งชีวิตและการมองเงินในรูปแบบใหม่ !! -- การ Design เปิดจากหน้าไปหลัง แล้วจากหลังมาหน้า มาจบหน้ากลาง (ใช่!!) ...มันแปลก!! ..ผมต้องการสื่อสารมุมนี้กับคนรุ่นใหม่มานานแล้ว ...ผมเชื่อว่าความคิดทั้งหมดที่ถ่ายทอดมันเปลี่ยนชีวิตผม ซึ่งผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆนักลงทุน และคนรุ่นใหม่ทุกคน ..จัดหนักครับ !! :: ("แกะรอยหยักชีวิต :: Filter ความคิด" โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม)

Sunday, January 26, 2014

เลือกหุ้นมาออม ..หาหุ้นแบบไหนดี ..จัดเลย!!


"คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าหุ้นตัวนี้จะทำให้คุณรวย ? ..ถ้าคุณแน่ใจ เชื่อหรือไม่ว่า มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด -- วันนี้ใครตามอ่านมุมมองการออมในหุ้นที่ผมนำเสนอมาระยะนึงจะพบว่า แก่นของมันคือ การติดต่าง ..การกล้าซื้อในเวลาที่คนอื่นกลัว (ตัวเราก็กลัวนะ..555) โดยอาศัยเครื่องมืออย่าง Technical มาจับจังหวะ พร้อมเปิดงบของบริษัทนั้นๆประกอบ ..ตัวช่วยของการที่จะกล้าซื้อในเวลาที่เรากลัว มีดังนี้ 
หนึ่ง สร้าง Stock Wish List แบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มๆ คือ 
(1).กลุ่มห่วยสุดๆ (เละ เน่า ไม่มีปันผล ทุกคนเอือมระอา แต่เราดูว่าไม่น่าเจ๊ง) ..แนวนี้ถ้าได้จะหลายเด้ง แต่เสี่ยงสูง ถ้าจะลองใช้เงินที่เราตัดทิ้งได้ ดีกว่าหวยนิดนึง ถ้าจะเอาจริงให้เป็นสัดส่วนที่เล็กของ Port ซื้อในเวลาที่ข่าวแย่ และเน่าที่สุด
(2).กลุ่มหุ้นเคยดี (วันนี้ดูแย่ งบห่วยสุดๆ แต่กำไรสะสมมันมี แถมอาจจะจ่ายปันผลด้วยซ้ำ และสำคัญคือเราดูว่าไม่น่าจะเจ๊ง) ..แนวนี้ดี แต่มันจะไม่ได้หลายเด้ง แต่จะกำไรค่อนข้างชัวร์เมื่อรอบมันกลับมา อันนี้สัดส่วนมากหน่อย
(3).กลุ่มหุ้นดีแต่ไม่มีใครสน (พวกหุ้นดีไม่มีใครสนคือ งบก็ดี ปันผลก็ดี แต่ไม่มี Volume ดูจังหวะก็ดี ..อันนี้ต้องมีส่วนนึงใน Port เพราะเราซื้อแล้วไม่สนว่าจะขายเลย) ..พวกนี้คือ หุ้นแนวนี้มองเหมือนออมเงิน มองแต่ปันผล อันนี้สัดส่วนกลางๆ 
(4).กลุ่มหุ้นมีเจ้า (พวกนี้แหละรายย่อยติดมาก และราคาลงเละ เพราะวันนี้เจ้าเขาขายทิ้งให้รายย่อยรับ) ...พวกนี้คนส่วนใหญ่ติดเยอะ เขาซื้อตรง Technical ภาพ Week หรือ Month ตรง Overbought ..ถ้าคุณซื้อ Oversold ก็คนละต้นทุนกับเขา พวกนี้ขึ้นกับเจ้าว่าจะลากเมื่อไหร่ อันนี้สัดส่วนน้อยหน่อย
(ในกรณีอยากเร่ง Port ต้องทำสัดส่วนในหุ้นเสี่ยงมากให้มากขึ้น ก็เท่านั้นเองครับ)
สอง การซื้อ -- ต้องซื้อเป็น Portfolio คือ เลือก 5 - 10 ตัว แบบคละ ..ถ้ายังไม่กล้าซื้อ ลองซื้อครึ่งนึงของเงินที่จะซื้อ และซื้อสวนความกลัวเลย แล้วถ้าหุ้นที่เราซื้อลงต่อก็ซื้อที่เหลือ
สาม ขั้นตรวจสอบครั้งสุดท้าย คือ เงินที่เราซื้อคือเงินเย็น ..เราจะไม่สนหากราคาลง เพราะเราจะซื้อเพิ่ม ..เราซื้อในเวลาที่คนอื่นๆ บอกว่ายังไม่น่าดี ..Confirm ด้วย Technical ดูรอบ ...ที่พูดมาเป็น Guide เล็กๆ ในการช่วยเหลือ แต่พอซื้อหุ้นจริงคุณจะเริ่มเข้าใจมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (มันจะขัดใจ งงๆ แบบนี้ล่ะ ถ้าทำได้ 10 ปี ก็รวยเท่านั้นแหละ)
-- นี่แหละ มันยากไง คน 80% เขาทำไม่ได้ เขาก็เลยออมในเงินฝาก หรือ ไม่ก็ออมในตราสารหนี้ ..เรื่องแบบนี้ต้องฝึก ต้องมีวินัย ต้องกล้า และต้องอดทน ...สังเกตดูเวลาใครเอาหนังสือมาขอลายเซ็นต์ผมจะเขียนว่า ให้ 'เก่ง กล้า อดทน' เพราะ ความรวยและความสำเร็จยุคนี้ฟลุ๊คยาก มันเลยต้อง ทั้งเก่ง คือ มีปัญญาในงานที่ทำ ต้องกล้า คือ กล้าคว้าโอกาสในขณะที่ใจเรากลัว และ ต้องอดทน ทุกอย่างใช้เวลา ไม่มี Overnight Success เลยต้องอดทนครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Saturday, January 25, 2014

หลักคิดออมในหุ้น ..คิดไม่เป็นรวยไม่ได้ !!


"ออมในหุ้น กับ กู้ซื้อรถ และ กู้ซื้อบ้าน ทำอะไรก่อนดี ? ...เอาตอบแบบ Commonsense ตรงๆเลยนะ ..คุณคิดดูการกู้ซื้อรถ หรือ กู้ซื้อบ้าน มันคือ รายจ่ายประจำ คือ Passive Expense คือ ถึงสิ้นเดือนก็ต้องจ่าย ไม่มีข้ออ้าง ..ถ้าไม่จ่ายซวย เพราะธนาคาร หรือ Finance จะยึดแน่ถ้าคุณหยุดจ่าย ..คุณรู้ไหมคนชั้นกลางเจอปัญหาผ่อนรถและบ้าน สุดท้ายโดนยึดหมด เครียด ซวย !! แล้วก็วิ่งไปตะโกนว่า แย่!! สังคมมันแย่!! ชีวิตมันโหดร้ายๆ ทำงานหนักผ่อนบ้านผ่อนรถมาตั้งนาน สุดท้ายก็โดนยึด ผ่อนไม่ไหว เพราะตกงาน ..ก็หัวหน้ามันเลว จิกหัวใช้ยังกับควาย ..ก็ใครจะอยู่ไหว !! แต่ก็เอาเถอะ ถ้าผมลาออกจากงานห่วยที่ต้องทนทำ จะมีรายได้ที่ไหนมาผ่อนบ้านและรถล่ะ ..ใช่!! ผมต้องทนเป็นทาส ทำงานห่วยๆ เพื่อลูกและเมียผมจะมีบ้านและรถใช้ -- ฮึม!! ชีวิตที่ผมเล่ามา ไม่ได้แต่งขึ้นมานะ มันเป็นชีวิตของคนชั้นกลางที่สู้ชีวิตส่วนใหญ่ในประเทศไทย ..เขาทำงานอย่างหนัก เอาแรงงานและเวลาที่มีของเขา ทำแลกเงิน ..เอาแรงงาน + เวลา ทำแลกเงิน ภาษาการเงินเขาเรียก Active Income (ถ้าหยุดทำ รายได้หยุดทันที) -- อ่ะนะ !! คิดดูนะ คนส่วนใหญ่เอา Active Income ทำหาเงิน มาจ่าย Passive Expense ..ซวยดิครับ เล่นเอารายได้ที่ไม่แน่นอน มาจ่ายรายจ่ายประจำ ชีวิตย่อมซวย -- โอเคทางแก้คือ มันต้องหา Passive Income มาจ่าย Passive Expense มันถึงจะ Makesense ..เพราะต้องหารายได้ประจำที่เข้ามาโดยที่เราไม่ต้องทำงาน ถึงจะเหมาะกับรายจ่ายประจำ ...ใช่!! ผมกำลังจะบอกว่าปัญหาการเงินของคนสมัยนี้เริ่มต้นจากไม่เข้าใจว่า อะไรคือรายจ่ายประจำ และ ไม่เข้าใจว่าอะไรคือรายได้ประจำ ...ซึ่งการออมในหุ้นก็เป็นวิธีการนึงที่เราออมในหุ้น เพื่อหุ้นจะได้ให้ปันผลทุกๆปี (ประจำ) กลายเป็นเครื่องผลิตเงินที่สร้างรายได้ประจำ หรือ Passive Income ให้เรานั่นเอง ...คนเราจะมีอิสรภาพทางการเงินไม่ได้ขึ้นกับว่าเงินเดือนสูงเท่าไหร่ แต่ขึ้นกับว่าเขาสามารถสร้าง Passive Income มากกว่ารายจ่ายอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่ -- ครับ!! ทุกคนทุกอาชีพถึงควรเริ่มออมในหุ้นไง คือ คุณหาเงิน Active Income แล้วมาเปลี่ยนเป็น Passive Income นั่นแหละ ขีวิตถึงจะมีอิสระครับ !!" (สรุป จะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนเท่าไหร่ก็ได้ รถแพงแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องใช้ Passive Income มาผ่อนถึงจะโอเคครับ ดังนั้น ต้องเริ่มสร้าง Passive Income ก่อน ซึ่งการออมในหุ้น ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่สร้าง Passive Income แบบนอนกระดิกเท้ารับปันผลได้จริง!!)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Friday, January 24, 2014

ชนะร่างกาย ชนะใจ กับการออมในหุ้น


"การฝึกวินัยในการออมหุ้น ต้องทำไปกับการลดน้ำหนัก ..ผมไม่ได้พูดตลกๆนะ !! -- วันนี้สิ่งที่ยากสำหรับคนรุ่นใหม่คือ การฝึกความมีวินัยและความอดทน เพราะด้วยโลกยุคใหม่ มันทำให้ทุกคนกลายเป็น Generation Now คือ 'ฉันต้องการ ...และต้องการเดี๋ยวนี้ Now!!' -- ซึ่งแนวคิดนี้อาจเหมาะกับการทำงาน แต่ไม่เหมาะกับการลงทุน และ การลดน้ำหนัก ..โอเค!! ลองคิดดูนะที่เดี๋ยวนี้คลินิกลดน้ำหนักเกิดรอบเมืองมันชี้ให้เห็นเลยว่าคนเดี๋ยวนี้ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยตัวเองอีกต่อไป เพราะลดอาหารก็ยาก จะออกกำลังกายก็มีข้ออ้างสารพัด จริงๆ คือ ขาดวินัยนั่นแหละประเด็นสำคัญ ...ยกตัวอย่างบางคนเข้าคอร์สดูดไขมันหมดไปเป็นแสนๆ ออกมาผอมเพรียวชั่วคราว จากนั้นไม่นานก็ -- ใช่!! กลับไปอ้วนเหมือนเดิม เพราะพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายมันไม่ได้เปลี่ยน ..ก็เหมือนคนถูกหวย แต่ถ้าพฤติกรรมการหาและใช้เงินยังไม่เปลี่ยน สุดท้ายก็กลับไปจนเหมือนเดิม -- คือ ผมอยากจะชี้ว่า การสร้างความมั่งคั่ง กับ การลดความอ้วน มันคล้ายๆกัน มันต้องเปลี่ยนที่ต้นเหตุของปัญหาก็คือเปลี่ยนพฤติกรรมที่กำหนดจาก Mindset ของเรานั่นเอง ..ดังนั้น ลองนี่เลย ..ถ้าจะฝึกเรื่องการออมในหุ้น ลองตั้งเป้าฟิตหุ่นลดน้ำหนักไปพร้อมกันเลย ตั้งเลยจะลด 5 กิโล ใน 6 เดือนและมี 6 Pack ..นั่นแหละ ฝึกวินัยตัวเอง ถ้าทำได้เดี๋ยวหุ่นดี หล่อ สวย รวยโคตรๆ พร้อมกัน ...สุดอ่ะ ลองดูครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, January 23, 2014

ผิดทุกรอบ ซื้อแพงขายถูก ..ทำไมไม่ซื้อถูกแล้วไม่ขายเลยจะรวยแบบเจ้าของ


"เรื่องออมในหุ้นมันเป็นแนวคิดของพวกนายทุนในระบบทุนนิยม ที่ผมลองอ่านเกมเขาดูว่าเขาคิดแบบนี้ ..เนื่องจากทุนนิยมไปถึงจุดนึงคนรวยจะรวยขึ้น คนชั้นกลางจะค่อยๆจน แบบต่างกันสุดขั้ว ..ถ้าดูกลไกที่แบ่งระหว่างชนชั้นก็คือ การถือครอง Asset -- คือใครสามารถหาจังหวะถือครอง Asset ได้ก็ยิ่งรวย ...จริงๆ เกมนี้มัน Open คือใครก็เล่นได้ เพียงแต่ปัญหาของรายย่อย หรือคนชั้นกลางที่เป็นเหยื่อเพราะเขาติดกับดักแนวคิดผิดๆ จนทำให้คนเหล่านี้เจ๊งทุกๆรอบ เพราะซื้อแพงขายถูก ..แก่นของการเอาชนะ เราต้องกลับมาทำความเข้าใจ เกมของตลาดหุ้น ...อย่าง การซื้ออย่างเดียวไม่ขาย ในเวลาที่ตลาด Panic ก็เรียกว่า เป็นวิธีการเล่นหุ้นได้กำไรมากที่สุดวิธีนึงเลยทีเดียว -- จัดไป ออมหุ้น !!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, January 22, 2014

กองทุนลดภาษีสำหรับ Salary Man 'RMF / LTF' กับมุมมองของการออมในหุ้น !!


"ซื้อกองทุน RMF / LTF ที่ลดภาษีได้ มันถือเป็นการออมในหุ้นไหม แล้วมันแตกต่างจากการซื้อหุ้นรายตัวแล้วออมในหุ้นเองยังไง ? ...อย่างแรก ซื้อ RMF/LTF ลดภาษี ถือเป็นการออมครับ แต่ต้องดูด้วยว่ามีปันผลหรือเปล่า เพราะการออมในหุ้นแก่นของมันคือ ปันผล มันคือ Passive Income ที่เรา focus มากที่สุด ...อย่างที่สอง การออมในกองทุน ต่างจากการออมซื้อหุ้นรายตัวเองอย่างไร ..ก็ต่างที่ผลตอบแทนระยะยาว คือ กองทุนอาจดูผันผวนน้อยกว่า เพราะผู้จัดการกองทุนเขามีหน้าที่ซื้อๆขายๆ เพื่อที่เขาจะได้ผลงานตาม KPI วัดผลงานของเขา ซึ่งจุดนี้ดีในเรื่องที่ทำให้กองทุนไม่แกว่งมาก แต่ข้อเสียคือ มันก็ลดผลตอบแทนระยะยาวให้แย่ลงเช่นกัน ..ดังนั้น สรุปว่า การออมในกองทุนก็ทำได้ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้ Passive Income ในแบบที่เราต้องการ และมันก็อาจจะไม่โตสิบเท่าร้อยเท่าแบบที่เราหวังไว้ครับ"..ลองไปดู Performance ย้อนหลังกองทุนมาศึกษาอย่างละเอียด คุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายมากขึ้น (เพราะไม่มีใครสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดทั้งระยะสั้น และก็ระยะยาวพร้อมกัน 'การลงทุนถึงต้องแบ่ง Port เป็น Port ระยะสั้น กับ Port ระยะยาวไงครับ' ..ในตลาดทุนจริงๆ คนที่เก่งลงทุนระยะสั้น ก็มักจะมีจุดอ่อนระยะยาว ..คนเก่งยาว ก็มักอ่อนสั้น ..ไปลองเล่นเกมหมากล้อม แล้วคุณจะเข้าใจว่า ไม่มีใครที่ชนะทั้งศึกและสงครามพร้อมๆกัน มันเก่งเกินไป ...ในหมากล้อมคนที่คิดชนะสงครามใหญ่ อาจต้องยอมแพ้ศึกย่อยๆบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, January 21, 2014

ตลาดหุ้นไทยจะต้องผ่านอีกกี่สงคราม กี่วิกฤต กี่ปฎิวัติ ถึงจะไปที่ SET 10,000 จุด


คุณคิดว่า SET วันนี้สูงแล้วเหรอ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว SET 100 จุด ผ่านสงครามต่าง ผ่านวิกฤตต้มยำกุ้ง ผ่านแฮมเบอร์เกอร์ ผ่านสงครามอาหรับ 911 ผ่านวิกฤตการเมืองบ้าๆ ผ่านน้ำท่วม ผ่านวิกฤตยูโร ดูวันนี้ดัชนี SET 1,000 กว่าจุด ดังนั้น ให้ผมฟันธง อีก 30 ปีข้างหน้า ผ่านอีกหลายสงคราม ผ่านอีกหลายวิกฤตการเมือง ผ่านอีกหลายวิกฤตเศรษฐกิจ เชื่อไหม SET ก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ อาจจะใกล้ๆ 10,000 จุด เหมือนตลาดหุ้นทั่วโลกนั้นแหละ ...ยิ่งแย่มันก็ยิ่งดี เราทุกคนลืมไปว่า ตลาดหุ้น มันแค่สะท้อนเงินเฟ้อ ...ถือไปเถอะ เดี๋ยวรวยเอง Landlord ยุคใหม่ ถือ Equity
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

อาชีพแบบนี้มีอิสรภาพทางการเงินง่ายที่สุด !!


"อาชีพไหนควรออมในหุ้นมากที่สุด แล้วควรเริ่มเมื่อไหร่ ? ..ผมว่าใครก็ตามที่อยากมีเครื่องผลิตเงินไว้ใช้ยามแก่ หรือ อยากมี Passive Income ก็ควรเริ่ม Port ออมหุ้นตั้งแต่วันนี้เลย เพราะการออมในหุ้นจริงๆ มันเป็นการสร้าง Passive Income แบบเหนื่อยน้อยที่สุด (แต่ต้องเข้าใจมากที่สุด เพราะไม่ง่ายนะ) ซึ่งที่ใครๆ พูดกันว่า อยากมีอิสรภาพทางการเงินก็นี่แหละ ออมในหุ้นซิครับ ..เราจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อ Port หุ้นของเราให้ปันผล มากกว่าเงินเดือน ผมว่านั่นแหละ จะเรียกว่า Financial Freedom เพราะมันอาจถึงจุดนั้นก่อนที่คุณจะเกษียณจริงๆเสียอีก เท่ากลับว่า หลังจากนั้นคุณแทบไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีก ไม่ว่าคุณจะทำงานหรือไม่ก็ได้"..ทุกอาชีพต้องเริ่มออมในหุ้น ให้เร็วที่สุด -- ก็วันนี้เลยเป็นไงครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

แนวทางมนุษย์เงินเดือนเริ่มนับหนึ่งออมในหุ้น


"สำหรับมือใหม่ถอดด้ามจริงๆ ถ้าอยากเริ่มการออมในหุ้นควรเริ่มจากเงินเท่าไหร่ ยังไง ? ... ครับ!! สำหรับ มือใหม่หัดออมหุ้น ผมแนะนำให้เริ่มจาก ส่วนนึงของเงินเดือนครับ เช่น กันส่วนนึงซัก 10 % ของเงินเดือน แล้วโอนไปไว้ในบัญชีหุ้น เตรียมรอซื้อหุ้น ..ส่วนจังหวะสำหรับมือใหม่ ก็ง่ายมาก คือ ทุกๆปี ตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานลงแรง 2-3 ครั้ง ก็ใช้จังหวะ 2-3 ครั้งนั้นแหละ ที่เข้าซื้อ ...จริงๆ การเข้าซื้อในเวลาตลาดปรับฐาน มันจะมีแต่ข่าวร้าย ซึ่งเป็นการฝึกตัวเองด้วยว่า คุณสามารถชนะอารมณ์ตัวเองได้ไหม ...ซึ่งถ้าคุณเริ่มมีความรู้มากขึ้น คุณจะค่อยๆ พบว่า ช่วงที่ตลาดปรับฐาน หุ้นมันจะลงมาในส่วนของ Oversold ในกราฟ Technical ..ซึ่งกราฟ Technical หากคุณศึกษาจะช่วยให้คุณเข้าใจ Logic การขึ้นลง และคุณจะพบว่า ดวงตาเห็นธรรมในตลาดหุ้น มันทำให้คุณรวยได้มากเพียงใด" ...ค่อยๆฝึกไป เอาใจช่วยครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, January 20, 2014

การสร้างความเชี่ยวชาญจากการออมในหุ้น


"การสร้างความเชี่ยวชาญในการออมในหุ้น จะทำอย่างไร ? ..ผมว่าการออมในหุ้นก็เหมือนเราขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ -- การที่เราจะเก่งหรือ expert ก็ต้องผ่านการฝึกฝน ผ่านระยะเวลา ..แล้วถ้าจะให้แบบ เก่งเลย ต้องผ่าน วิกฤตแรงๆ ..จริงๆ หลักการออมหุ้นคือซื้อแล้วไม่ขายเลยมันดูง่ายนะ ก็แค่ซื้อหุ้นปันผลแล้วเก็บเฉยๆ แต่เชื่อไหมว่าเวลาเจอสถานการณ์จริงมันทำใจยากสุดๆ ..ช่วงตลาดเกิดวิกฤตแรงๆ หุ้นตกทุกตัว แล้วลงเกิน 50% ..สมมุติ Port คุณ 1 ล้าน พอวิกฤตเหลือ 5 แสน ตรงนี้แหละที่เข้าใจยากว่าทำไมไม่ให้ขายก่อน ..เพราะว่า ถ้าให้ขายเชื่อเลยว่า คุณมักจะไม่ได้ขายตรงยอด แต่คุณมักจะมาขายในจุดที่คุณทนไม่ไหว ซึ่งคนส่วนมากที่พยายามซื้อถูกขายแพง มักจะพบว่า เอาเข้าจริงเวลาขาย มักจะไปขายในเวลาที่ราคาต่ำมากๆ หรือ ขายเสร็จไม่นานขึ้นก็ดีดกลับ (ซวยกว่าเดิมว่างั้น!!) ..เราจึงให้หลักการที่ว่า ห้ามขายใน Port ออมหุ้น ..ถ้าอยากขายให้โยก Port ไปในส่วนของ Port Trading ก็เท่านั้นเอง -- โดยสรุป Port ออมในหุ้นจริงๆ เรามักจะรวยจากปันผล ที่มันโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถือนานปันผลก็ยิ่งมากขึ้น จนในที่สุดคุณได้เงินต้นคืนจากการรับเงินปันผล นั่นถือว่าคุณสอบผ่าน ..เพราะหลังจากที่คุณได้เงินต้นทยอยคืนจนได้เงินต้น ก็เท่ากับว่า หุ้นทั้งหมดในตลาดคือกำไร ..นั่นแหละสุดยอดแล้ว!!" ...เคล็ดลับของการออมในหุ้น คือ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันนานมาก แต่ในความเป็นจริง Port มันโตเร็วกว่าที่คุณคิดมาก ...ไม่เชื่อ!! ก็ลองดูซิครับ ..555 (มันเหมือนผมจะบอกคุณว่า คนที่อยากรวยเร็ว มักซวยด้วยเหตุผลต่างๆนานา แล้วรวยช้า ..แต่คนที่มีความเข้าใจ ไปเรื่อยๆ กลับรวยเร็วกว่า -- จริงๆ)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

หลักสิบ คนออมในหุ้น ..จัดไป !!


"หลักยึด 10 ประการของการ ออมในหุ้น
1. หุ้นนั้นๆ ต้องเป็นเสมือน ที่ดินในทำเลดี คือ มีอนาคต ..ซื้อหุ้นดี ก็เหมือนซื้อที่ดิน
2. หุ้นนั้นๆ จะต้อง มีปันผล ให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ และมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการโตของกิจการ
3. เราจะต้องซื้อแล้วถือหุ้นนั้นๆ เสมือนเรามีดินทำเลดี ที่เราไม่อยากขายชั่วชีวิต คือ มองหุ้นเป็นห่านทองคำ ที่จะออกไข่ทองคำเลี้ยงเราจนตาย
4. เราควรซื้อหุ้นนั้นๆ ในเวลาที่เขามีวิกฤต และเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ขายหุ้นนั้นๆ ซึ่งเราอาศัย Technical เรื่อง Overbought & Oversold ในภาพใหญ่แบบ Week หรือ Month ในการจับจังหวะในการเข้าซื้อ
5. การออมในหุ้นต้องรู้จักการลงทุนเป็น Portfolio เพื่อกระจายความเสี่ยง ..ห้ามทุ่มซื้อหุ้นตัวเดียว
6. นักลงทุนระยะยาว แนวออมในหุ้นมีเวลาเป็นเพื่อน เพราะยิ่งลงทุนยาว ก็ยิ่งขจัดความผันผวน และให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นไปอีก (ระยะสั้นราคาอาจผันผวนขึ้นลงเกิน 50% แต่ในระยะยาวหุ้นดีจะโตสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงซึ่งโตหลายสิบเท่า หรือหลายร้อยเท่าตัว จากจุดเริ่มต้น)
7. คนที่ออมในหุ้น ต้องเป็นคนที่เห็นโอกาสในวิกฤตได้ เพราะถ้าหุ้นไม่ได้เกิดวิกฤต ก็ไม่มีทางที่จะซื้อหุ้นนั้นในราคาถูกได้ (No Free Lunch in real world)
8. คนที่ออมในหุ้นจะต้องไม่พยายามซื้อถูกที่สุด เพราะในโลกนี้ไม่มีถูกที่สุด การอยากซื้อถูกที่สุดจะไม่เคยได้ซื้อ
9. การเริ่มลงทุนต้องเริ่มวันนี้เลย ไม่สำคัญว่ามากหรือน้อย แต่ต้องเริ่มเลย เหมือนเล่นกีฬา เราจะรอให้เขาคัดตัวทีมชาติสัปดาห์หน้า แล้วจะเริ่มหัดเล่นสัปดาห์นี้ คงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการติดทีมชาติ เราจึงต้องก้าวเข้าสู่ตลาดวันนี้เลยเพื่อเตรียมความพร้อมของจิตใจเพื่อการลงทุนรอโอกาสที่ยิ่งใหญ่
10. กฎเหล็กของการรวยจากหุ้นคือ อยู่ในตลาดนานพอ นั่นคือ อย่างน้อยต้องอยู่ในตลาดหุ้นให้ครบ 10 ปี แม้ว่าจะล้มตลอดเวลา เพราะคุณจะเห็นรอบของหุ้นแบบ 'เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของหุ้นทุกตัว' และจะเข้าใจแก่นแท้ของตลาด จนสามารถชนะตลาด ก็คือชนะใจตัวเองแล้วรวยจากการออมในหุ้นได้"
-- คนที่รวยจากการออมในหุ้นได้ ต้องสามารถเอาชนะสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่เคยมีในโลก ก็คือ เอาชนะใจตัวเอง ..ถ้าชนะได้ รวยทุกคนครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Saturday, January 18, 2014

ออมในหุ้นความรวยที่ทำได้จริงกับความเสี่ยงที่มองไม่เห็น


"ออมหุ้นดูเหมือนเป็นวิธีการที่การันตีความรวยในระยะยาว แต่เหตุใด คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำล่ะ ? ...ง่ายๆเลย เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าหุ้นเสี่ยง (เสี่ยงสุดๆ..จริงดิ?) ..นิยามของเขาคือ การเล่นหุ้นคือการพนัน ..จริงๆ ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจหุ้นจริงๆ ว่า หุ้น น่ะ ไม่ได้เสี่ยง -- ลองทำความเข้าใจประเด็นนี้กันดีๆนะครับ คือ หุ้นจริงๆ ไม่เสี่ยง เพียงแต่มันผันผวนมากเท่านั้นเอง ...ที่บอกว่าไม่เสี่ยงเพราะผมมองในมุมของการออมหุ้น คือ ซื้อหุ้นปันผลดีแล้วไม่ขาย สิ่งที่ผมมองอย่างเดียวคือ แต่ละปีผมจะได้ปันผลเท่าไหร่ (ซึ่งกิจการดีๆ ทั้งกำไรแบะปันผลก็โตตลอด) ..ดังนั้น ถ้าผมซื้อแล้วไม่ขายเลย ย่อมหมายถึงราคาจะแกว่งขึ้นลงเพียงใดก็ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่ออมในหุ้น เพราะยังไงเขาก็ไม่ขาย (คิดง่ายๆนะ หุ้นปันผลก็เหมือนห่านทองคำ ถ้ามีคนมาขอซื้อห่านทองคำ คุณจะยอมขายไหม?) -- ในทางกลับกัน หากคุณ Trading ซื้อขายทำกำไรระยะสั้น อันนี้เสี่ยงและผันผวนแน่นอน ..สรุปว่า เข้าใจความจริงของคุณอย่างที่ผมเล่ามา คุณก็จะรวยได้แบบไม่ยากเบ็นครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, January 16, 2014

มรดกที่ดีให้ลูกหลาน มันก็คือสิ่งที่ดีสำหรับตัวคุณด้วยเช่นกัน ..คิดเก็บให้หลานเราจึงรวย !!


"ออมในหุ้นเป็นมรดกให้ลูกหลานได้หรือไม่ ? ..บอกเลยว่า ถ้าคุณออมในหุ้นให้ลูกหลาน เขาจะรักคุณโคตรๆ ...คุณรู้ไหมหุ้นดีนี่ถ้าออมได้เกิน 30 ปี มันจะโตเป็นสิบๆเป็นร้อยๆ เท่า ดังนั้น การจะมอบมรดกให้ลูกหลาน การให้ Port ออมหุ้น น่าจะเป็นการออมใน Asset ที่แจ๋วที่สุดเสียด้วยซ้ำ ...เพราะเงินสดนี่แย่สุด ถ้าลูกหลานไม่เก่ง เดี๋ยวเขาก็ใช้เงินหมด ..ถ้าเป็นที่ดินก็โอเคนะแต่เรื่องทำเลก็พูดยาก ส่วนเรื่องรายได้ ถ้าเขาฉลาดก็คงบริหารที่ดินจัดสรรแบ่งเช่าให้เกิดรายได้ ...ส่วนถ้ามรดกเป็น Port หุ้นปันผล นี่สบายสุด ตัวอย่าง Case นึงที่ผมยกเป็นตัวอย่างตลอดคือ คุณป้าที่แกซื้อหุ้น SCC ตอนราคาหุ้นละ 1 บาทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว -- ป้าแกจัดไปล้านหุ้น วันนั้นแกจ่ายไป 1 ล้านบาท ..มาวันนี้มันหุ้นละ 400 บาท ปันผล 12 บาทต่อหุ้นทุกๆปี (วันนี้ Port คุณป้ามูลค่า 400 ล้านบาท และปันผลปีละ 12 ล้านบาท) ...นี่แหละ มรดกชั้นเลิศ ถ้าป้าแกจะให้มรดกผม ผมขอ Port หุ้น SCC แกนี่แหละ -- นี่แหละศักยภาพเหนือจินตนาการ ของวิธีการออมในหุ้น ที่นอกจากคนออมจะรวยเกินคาด ลูกหลานยังสามารถรับช่วงต่อได้ ดีกว่าส่งต่อธุรกิจให้เสียอีก เพราะโดยมากบ้านไหนรวยๆ ลูกๆ จะทำธุรกิจไม่ค่อยเป็น พอรับช่วงต่อก็เจ๊งหมด ..สู้ให้มันไปเลย เป็น Port ออมหุ้น มันได้ Passive Income ชั่วชีวิต ..ข้าน้อยขอคาระวะท่านปู่ !!"...จ๊าก!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

เฮ้!! ภาววิทย์ นายแบ่งการจัดการเงินส่วนตัวของนายอย่างไรหรือ


"คุณแพ้ทมีสัดส่วนแนะนำไหมว่า ชีวิตเราจะแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนอย่างไร ออมในหุ้นเท่าไหร่ เก็งกำไรเท่าไหร่ ? ...ครับ !! ผมว่าสัดส่วนขึ้นกับเป้าหมายของแต่ละคน อย่างผมเอง ผมแบ่ง 70/30 คือ ออมในหุ้น 70% ของเงินเก็บทั้งหมดที่ผมมี ..ส่วนเก็งกำไร ซื้อๆขายๆ แบบ Trading ผมจัด 30% ของเงินที่มีครับ ...จริงๆ ที่ผมแบ่งแบบนี้ เพราะผมมองว่าในระยะยาวตลาดหุ้นก็ต้องโตไปเรื่อยๆ เหมือนผมออมในที่ดินนั่นแหละครับ ดังนั้น ระยะยาวสำคัญกับผมมากกว่า เพราะมันคือการสร้างเครื่องผลิตเงินที่สร้าง Passive Income ให้ผมนั่นเอง ..ในส่วนระยะสั้นเป็นแค่ส่วนที่เอามาเก็งกำไรเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของตลาด แล้วลับคมความคิด แถมยังเป็น Insurance คือ Port ระยะสั้นคือ ประกันภัยเพื่อลดความเสี่ยงของ Port ระยะยาว (งง ไหมครับ ยังไง?) -- ที่ Port ระยะสั้นช่วยป้องกันความเสี่ยงของ Port ระยะยาว เพราะระยะสั้นผม Trade แบบ Trend Following (เหมือนแนวการเทรดของ Robot นั่นแหละครับ ที่ซื้อขายตามสัญญาณ Technical ที่ชัดเจน มี Stop Loss และการ Let Profit Run) ..ดังนั้น ระยะสั้นผมไม่ติดดอย และไม่ขายหมู (ใครสนใจเรื่องนี้ลองไปหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่อง Trend Following หรือ การเทรดแนว Robot จะเข้าใจว่า การเทรดแบบไม่ติดดอย และไม่ขายหมู ทำได้จริงๆอย่างไร) ...เมื่อผมไม่ติดดอยก็ย่อมหมายถึงพอตลาดเข้าสู่ขาลง สัญญาณขายทาง Technical ก็จะบอกให้ผมขายหุ้นระยะสั้นออกแล้วถือเงินสดแทน -- นั่นแหละครับ การถือเงินสดในตลาดขาลง ก็ทำให้ผมมีเงินสดในขณะที่คนส่วนใหญ่ติดหุ้นครับ ผมก็สามารถมาช้อนซื้อหุ้นถูกๆ ในเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่มีเงิน หรือ ไม่กล้าซื้อด้วยเงินประมาณ 30% ของผมนั่นเอง (Port ระยะยาว คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ราคาจะย่อลงมาเวลาเยอะ 'อาจถึง 50% เป็นเรื่องปกติ!!' ตลาดปรับฐาน แต่คุณต้องท่องเอาไว้ว่า เงินแต่ละก้อนต้องชัดเจนในเป้าหมาย)"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Wednesday, January 15, 2014

หัวใจของการออมในหุ้นคือการเติบโตของ Passive Incomeที่มาจากปันผลไม่ใช่ส่วนต่างจากราคา



"ซื้อหุ้นที่ไม่มีปันผล ถือว่าเป็นการออมในหุ้นหรือไม่ ? ...ลองคิดซิครับ ว่าการออมในหุ้นเหมือนปลูกต้นไม้ที่เราจะเอาผลไม้ ดังนั้น ผลไม้ ก็คือ ปันผล ..ถ้าไม่มีปันผล แล้วจะเอาผลไม้ที่ไหนกินละ -- หลักการออมในหุ้นคือ การสร้างเครื่องผลิตเงินที่เลี้ยงเราจนตาย แก่นมันคือการสร้าง Passive Income ..ใช่!! ปันผลก็คือ Passive Income ที่จะเลี้ยงเราไปจนตาย ...สรุป ถ้าซื้อหุ้นไม่ปันผล ไม่ใช่การออมในหุ้น แต่เป็นการเก็งกำไรครับ" ...การลงทุนเราต้องเข้าใจเป้าหมายในเงินทุนแต่ละก้อนอย่างชัดเจน อย่างออมในหุ้นคือ ซื้อหุ้นดี ปันผลสม่ำเสมอ แล้วไม่ขาย เพื่อที่หุ้นนี้จะได้ปันผล แล้วโตขึ้นเรื่อยๆ เลี้ยงเราไปชั่วชีวิต ...ส่วนถ้าจะมีเงินก้อนอื่นเล่นแบบเก็งกำไร ก็ต้องจัดแบ่งแยก Port ให้ชัดเจนครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Tuesday, January 14, 2014

ออมหุ้นไม่ขาย ..ไม่มี Volume ไม่แคร์ -- เหรอ?


"สำหรับแนวการออมหุ้นของมนุษย์เงินเดือน (เงินน้อย ทยอยเข้า) จะเลือกหุ้นแบบไหนมาออมได้ แล้วพวกที่ไม่มี Volume ออมได้ไหม ? ...ประเด็นนี้มันเปิดโอกาสเยอะมาก เพราะหุ้นดีๆในตลาดที่ปันผลสูงๆต่อเนื่องมักจะไม่ค่อยมีสภาพคล่อง แต่จุดนี้ดีสำหรับคนเงินน้อยที่ต้องการออม เพราะคุณซื้อได้ (ที่หลายๆคนที่เล่นหุ้นแนวซื้อมาขายไปไม่ซื้อเพราะกลัวว่าขายไม่ได้) ..ใช่!! เมื่อเราไม่ได้ต้องการเก็งกำไร คือ เราไม่ขาย เราจะออมเพื่อเอาปันผล แล้วรวยไปกับหุ้นเหมือนเจ้าของ ..ก็นั่นแหละครับ กลับมาจุดสำคัญสุด ต้องปันผลสูง ..ดังนั้น Volume ไม่สำคัญ ขอให้หุ้นดี มีปันผลสูง จัดมาออมได้เลยครับ" ...ห้ามขาย เพราะคุณจะรวยแบบเจ้าของ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ฉันต้องมีเงินมากกว่านี้ถึงจะเริ่มออมในหุ้นได้ ..เท่าไหร่ล่ะ ?


"ออมในหุ้น The Begining แบบมนุษย์เงินเดือนที่ไม่ได้มีพ่อรวย ..คำถามเด็ด คือ ถ้าผมมีแค่ค่าแรงขั้นต่ำ 15,000 บาท ใช้ยังไม่พอจะเริ่มออมในหุ้นได้อย่างไร ? ..อันนี้ต้องถามกลับว่า คุณอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นจริงๆหรือเปล่า ถ้าตอบว่าใช่ ผมขอถามอย่างนึงว่า ..สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่มีเงินเดือน ขอเงินพ่อแม่ไปวันๆ ก็ใช้ไม่ถึง 15,000 บาท แต่ทำไมพอเริ่มทำงานแล้วเงินเดือนไม่พอใช้ล่ะ ? ...คำตอบคือ คุณเจอกับดักสังคมไง !! ..ครับ คุณโดนระบบทุนนิยมหลอกให้คุณเป็นทาส โดยกระตุ้น ความอยาก 2 ประการ ทันทีที่เรียนจบ -- อยากแรก คือ อยากมีรถ ก็เริ่มสร้างหนี้เลย หนี้รถ ..อยากสอง คือ อยากมีอิสระ ก็กู้ซื้อคอนโดเลย (เผอิญเงินน้อยเลยซื้อคอนโดไกล หรือบ้านที่ไกลโคตรๆ สรุปค่าเดินทางก็กินเงินเดือนหมด ค่าน้ำมันรถ ค่ามอเตอร์ไซค์ ค่า TAXI ..โอ๊ย!! คุณโดนสมองคุณหลอกว่ะ) ..แล้วอีกตัวร้ายเลยก็คือ บัตรเครดิต ..เจอสิ่งเหล่านี้เข้าไป ผมการันตีว่า คุณจนแน่นอน เพราะคุณจะเป็นหนี้และกลายเป็นทาสทันที -- ทางแก้ คือ ไม่เอาบัตรเครดิต ไม่ซื้อรถ ไม่ซื้อคอนโด (ไม่ซื้อวันนี้ แต่อีก 10 ปี จะมีได้ทุกอย่าง ถ้าเข้าใจการออมในหุ้นปันผลดี) ..ใช่!! เริ่มจากอยู่กับพ่อแม่ไปก่อน หรือ ไม่ก็เช่าหอพักที่ราคาไม่แพงใกล้ที่ทำงาน ..ต้องทนลำบาก สร้างวินัยให้ตัวเอง ผัดวันประกันพรุ่งความอยาก ออกไปก่อน ..มันเป็นวิธีสร้างวินัยของชีวิตที่ไม่ว่าเงินเดือนเท่าไหร่ ต้องฝึกใช้น้อยกว่าที่หาได้ (บางคนเงินเดือนแสนยังใช้ไม่พอ นี่แหละขาดวินัย หาเท่าไหร่ก็จนอยู่ดี) -- จากนั้นเงินที่เหลือ ก็เอามาออมหุ้น ตามวิธีที่ผมบอกก็คือ ซื้อหุ้นปันผลสูง แล้วไม่ขายเลย ..เวลาตลาดหุ้นมีวิกฤตก็ทยอยซื้อ (แต่ละปีตลาดหุ้นจะมีวิกฤตประมาณ 2-3 ครั้ง ก็ใช้จังหวะนั้นแหละซื้อหุ้น คุณก็จะได้เฉลี่ยซื้อที่ถูก) ...ทำอย่างนี้ 10 ปี เป็นการพิสูจน์ตัวเองว่า เราพิชิตความลำบากได้ไหม เราชนะใจตัวเองได้ไหม แล้วเรามีความอดทนไหม -- ถ้าใครทำได้ คุณก็ออมในหุ้นได้ มีโอกาสเป็นคนรวยได้ ตอนคุณอายุสักประมาณ 30 กว่าปี ...ก็คือ ฟ้าพิสูจน์คน 10 ปีนี่ผมว่าไม่มากนะ ใครชีวิตเจอมรสุมหนักๆจะเข้าใจเลยว่า 10 ปีมันจิ๊บๆ..ผมเองเจอกับตัวรู้ซึ้งดี วิกฤตมันสอนให้เรารู้จักตัวเอง มันสอนให้เราเป็นคนที่เข้าใจโลก เข้าใจคน เข้าใจชีวิต ...อ้าว!! แล้วใครที่ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร คุณก็ไม่สามารถรวยก็เท่านั้นเอง(จริงๆ คุณเลือกเอง)" ...เฮ้ย!! โทษนะครับ แต่ขอพูดตรงๆ คนที่อยากประสบความสำเร็จ อยากรวย ถ้าคุณไม่ใช่ลูกเศรษฐี มันต้องสู้ครับ มันต้องหนักกว่าคนอื่น -- เชื่อเถอะว่า อดทนถึงที่ (อย่างฉลาด) ได้ดีทุกคนจริงๆครับ ...ลองวางแผนทำดูครับ ผมเข้าใจคุณ และขอเอาใจช่วย !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ออมหุ้นต้องออมกี่ตัว ..ตัวเดียว(ห้ามขาย) เสียวไปไหม ?


"การออมในหุ้นที่ดี ต้อวแบ่ง Port อย่างไร ? ...ครับ !! ต้องกระจายความเสี่ยง ...วิธีการออมในหุ้น คือ 'ความเสี่ยงจำกัด แต่ผลตอบแทนไม่จำกัด' ...งง ไหม ? -- การออมในหุ้นคุณต้องกระจายความเสี่ยง คือ ต้องมีหุ้นอย่างน้อย 5 - 10 ตัว (มากกว่านั้นก็ได้ เพราะเราไม่สนว่าจะขาย เราจะไม่ขาย) ..สิ่งสำคัญคือ คุณต้องอ่าน Fundamental ออกว่า หุ้นที่เลือก มันดี (คือไม่เจ๊ง ว่างั้นเถอะ) และที่สำคัญมันต้องปันผลสูง คือ 5 - 10 % ขึ้นไป ...แล้วจะแจ๋วกว่านั้น ถ้าคุณรู้ Technical เพราะมันจะช่วยในเรื่องของจังหวะซื้อ ...และกฏเหล็กคือ ห้ามขาย (ถ้าหุ้นมันจะลงเละ ก็ปล่อยให้มันลงไป เพราะเรากระจายความเสี่ยงดีแล้ว) ...นั่นแหละครับ ง่ายๆ แบบนั้น แต่ยากที่ใจ ...ใจต้องฝึก ...ค่อยๆ ฝึก เหมือนฝึกวิชา เวลาเจอวิกฤต คุณจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่วิธีการก็เหมือนเดิม ก็คือซื้อหุ้นดี มีปันผล เมื่อราคามันถูก แล้วเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลานต่อไป" ...จัดไป!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Monday, January 13, 2014

คนที่จะออมในหุ้นได้ต้องมีนิสัยอย่างไร ?


"คนที่จะออมในหุ้นได้ ต้องมีนิสัยอย่างไร ? ...ครับ!! ต้อง นิสัยไม่โลภ เพราะคนโลภ ขายก่อนที่จะรวยครับ ..สังเกตให้ดีนะ คนไทยส่วนใหญ่รวยจากที่ดิน เพราะราคาที่ดินมันขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า ..ที่รวยเพราะเขาออมในที่ดินไง -- มีคนถามว่า ขายที่ดินเวลาไหนรวยที่สุด จริงๆ ต้องตอบว่า ไม่ขายน่ะรวยที่สุด เพราะขายตรงไหนก็ขายหมู ..หุ้นก็เหมือนกัน ถ้ามีหุ้นดี ไม่ขายเลยน่ะรวยที่สุด เพราะมันขึ้นไปเรื่อยๆ แถมการขึ้นโดยค่าเฉลี่ยหุ้นโตมากกว่าที่ดิน แถมมีปันผลที่โตขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย ..กลับมาคำถาม Classic ก็คือ อ้าว!! แล้วทำไมคนไทยมีคนรวยจากหุ้นน้อยล่ะ ? ..ก็ตอบแบบง่ายๆ เลยว่า คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้ออมในหุ้นไง เขาแค่เก็งกำไรเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้รวยจากการขึ้นรอบใหญ่ๆ" ...ใช่!! อยากรวยต้องออมใน Asset เช่น ออมในที่ดินทำเลดี , ออมในหุ้นดีๆ นั่นเองครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

เครื่องช่วยจับจังหวะในการออมในหุ้น ..หุ้น ..หุ้น !!


"คำถามที่น่าสนใจ คือ มีเครื่องมือที่ช่วยให้เรามีจังหวะในการออมหุ้นที่ดีไหม คือ อยากซื้อในเวลาที่ไม่ขาดทุนเยอะ มันมีวิธีช่วยไหม? ...มีครับ ใช้ Technical ช่วยไง ..เครื่องมือที่ช่วยดูรอบได้ดีก็เช่น RSI (Relative Stength Index) มันใช้ดูว่า ราคาในจุดนั้นๆ Overbought (ซื้อมากไป) หรือ Oversold (ขายมากไป) ..ดียังไง ? -- โคตรดีบอกเลย !! เวลาเราเปิด Chart หุ้น เนื่องจากเราไม่ได้จะเอามาใช้เก็งกำไรแบบ Trader แต่เราจะเอามาดูรอบว่า มันถูกหรือแพง ดังนั้น เราให้ใช้กราฟ Week หรือ Month เพื่อมองภาพใหญ่ ..จุดที่ถูกก็คือ จุด Oversold ของ RSI จะเป็น Week ก็คือ ถูกแล้ว ..ยิ่งเป็น Oversold ใน Month อันนี้เรียกว่า โคตรถูก (แต่แน่นอน เวลาซื้อตอนถูก เราคือซื้อขาลง มันก็มักจะซื้อแล้วราคาลงต่อ แต่ก็ไม่สำคัญ เราซื้อถูกก็สุดยอดแล้ว ...ไม่ต้องทำตัวไร้สาระแบบคนส่วนใหญ่ที่พยายามซื้อให้ถูกที่สุด บอกตรงๆ ไอ้พวกรอซื้อถูกที่สุด มันไม่ได้ซื้อหรอกครับ) ...แค่นั้นเอง ซื้อหุ้นเวลาถูก ก็จะลดปัญหาซื้อผิดจังหวะไปได้เยอะมาก แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้เก็งกำไร เราซื้อแล้วออมในหุ้นคือ เราไม่ขายเลย ดังนั้นแค่นี้ก็ช่วยจังหวะสุดๆแล้วครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Sunday, January 12, 2014

ออมในหุ้น ผ่านมหาวิกฤตต้มยำกุ้งและมหาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แล้วเจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่เขารวยขึ้นหรือจนลง ?


"มีคนบอกว่าพวกออมในหุ้นระวังเจอวิกฤต อาจหมดตัวได้ จริงหรือเปล่า ? ...คุณรู้ไหมว่า เสน่ห์ของวิธีการออมในหุ้น ไม่ใช่ว่าไม่เสียเงิน เวลาตลาดลงก็เสียทุกคนแหละ ..คุณรู้ไหมว่า สถิติย้อนหลังเวลาเกิดวิกฤตแรงๆ อย่าง วิกฤตต้มยำกุ้ง , วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตลาดหุ้นสามารถลงได้เกิน 50% ..ส่วนหุ้นรายตัวอาจลงได้ถึง 80% (มี Port 1 ล้าน ช่วงวิกฤตราคาอาจลงมาเหลือแค่ 2 แสน ทนไหวไหม?) และ บางตัวเจ๊งเลยคือหมด 100% ...แปลว่า เลวๆสุด คือ คุณเสีย 100% ของเงินก้อนนั้น ...แต่คุณรู้ไหมว่า ในขาขึ้น เงินคุณไม่ได้โตแค่ 100% มันโตได้มากกว่านั้น ..อย่าง PTT โต 1,000% ในสิบปี หุ้น SCC โต 40,000 % ในเวลา 30 กว่าปี ..หุ้น Central โต 10,000 % ในเวลาประมาณสิบกว่าปี ..เอาง่ายๆ หุ้นดังๆที่คุณรู้จัก มันขึ้นหลายเด้งทุกตัว แต่ปัญหาคือ เวลาหุ้นมันถึงรอบที่มันเด้งหลายๆเท่า คนส่วนใหญ่จะไม่มีหุ้น เพราะขายทิ้งไปก่อน ทนรวยไม่เป็น -- คนที่ไม่เคยขายเลยน่ะ รวยที่สุด ก็พวกเจ้าของไง ...เวลาตลาดลงเจ้าของเขาก็ต้องถือ เขาก็ขาดทุนที 50 - 80 % เวลาเกิดวิกฤต แต่พอวิกฤตผ่านไป เขาก็กลับมารวยหลายๆเท่าตัว ...คือ เวลาเสีย เจ้าของเสียน้อย (แค่ 80%) แต่เวลาได้ เขาได้เยอะ (เป็นร้อย เป็นพัน เปอร์เซ็นต์ ..ยิ่งถือหุ้นยาวยิ่งรวยมากขึ้น)" ...เคล็ดลับคือ ขาลง ทนได้ ขาขึ้นก็ทนได้ ...ใช่ เขามี เวลา เป็นเพื่อน ยิ่งนาน ยิ่งรวย !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Saturday, January 11, 2014

ออมในหุ้นหนีไม่พ้นต้องทนจนรวย ..จะรวยเท่าไหร่ ต้องทนเท่านั้น


"คนจะรวยต้องทนรวยเป็น คำพูดนี้ หมายความว่าอะไร? ...มันหมายความว่า ที่คนส่วนใหญ่ไม่รวย ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะรวย เพียงแต่ว่า เมื่อเขามีโอกาสเขาก็ทนรวยไม่เป็น ..ยกตัวอย่าง หุ้น Blue Chip (บริษัทใหญ่ๆ เช่น หุ้นในกลุ่ม SET 100) ส่วนมาก ในระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป หุ้นเหล่านี้จะมีจังหวะของแต่ละตัวที่ราคาขึ้นเป็น 10 เท่า (เกือบทุกตัว ..ไม่เชื่อลองไปเปิดกราฟหุ้นย้อนหลังดูเลย) -- ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ถือหุ้นได้รอบใหญ่ เพราะมัวแต่ focus ที่การซื้อมาขายไป ทำรอบให้กำไรเยอะๆ ก็เลยกลายเป็นว่า พอหุ้นตัวหนึ่งๆ ถึงรอบการขึ้นใหญ่ คนๆนั้น ก็จะขายหมู ตกรถรอบใหญ่ (ขายหมู = ขายแล้วราคาหุ้นไปต่อ = ตกรถ) ...ลองคิดดูนะถ้าหุ้นขึ้น 10 เท่า จาก 10 บาทวิ่งไป 100 บาท ถามหน่อยใครรวยที่สุด ..ใช่!! ก็คนที่ถือไม่ขาย ทนรวยเป็นถึงจะรวยที่สุด -- แต่ถามหน่อยคนที่เล่นหุ้นในตลาดปกติเวลากำไร 10% ก็ขายแล้ว หรืออย่างเก่งขึ้นเท่าตัว 100% ก็พอใจสุดๆแล้ว ..ดังนั้นแปลว่า คนที่ไม่ได้ออมในหุ้น ก็จะขายระหว่างทาง หุ้นที่วิ่งขึ้นจาก 10 ไป 100 คนส่วนใหญ่ขายไปก่อนจะถึง 20 ด้วยซ้ำ -- นี่แหละที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่เขามัวแต่สนใจกำไรเล็กๆ พอรอบใหญ่มา ก็ขายหมู ..คนที่รวยที่สุดก็คือ คนที่ออมในหุ้น เพราะเขาซื้อหุ้นดีแล้วไม่ขายเลย สุดท้ายเขาก็รวยไปกับหุ้นราคาขึ้นในระยะยาว เป็นสิบเท่า ร้อยเท่า แถมปันผลก็โตเป็นสิบเป็นร้อยเท่าเหมือนกัน" ...ใช่!! คนจะรวยได้ ก็ต้องทนรวยเป็น ซื้อออมหุ้นดีแล้วไม่ขายเลยนั่นแหละรวยจริง
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Friday, January 10, 2014

ใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะรวยจากการออมในหุ้น


"มันใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเราจะรวย จากการออมในหุ้น ? ...นานครับ แต่ถ้ารวยแล้วมันสุดยอดรวย ..ยกตัวอย่าง โดยค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเกิน 12% ต่อปี ...อันนี้ไม่รวมปันผล ซึ่งถ้ารวมจริงๆ มากกว่านั้นเยอะ -- ลองคิดง่ายๆ ถ้าคุณถือหุ้น SCC เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ราคาหุ้นละ 1 บาท ปันผลประมาณ 5 สตางค์ ..ถ้าถือออมถึงวันนี้ไม่ขายเลย ราคาหุ้น SCC วันนี้ราคา 400 บาทต่อหุ้น ปันผลวันนี้ประมาณ 12 บาทต่อหุ้น ...มองแค่ปันผล มันเพิ่มจาก 5 สตางค์ กลายเป็น 12 บาท ต่อปี -- ถ้าสมมุติคุณซื้อออม SCC สัก 1 ล้านบาท เมื่อ 30 ปีก่อน วันนี้แค่ปันผลคุณก็จะได้ปีละ 12 ล้านบาทต่อปี ...คุณเห็นหรือยังว่า คนที่รวยที่สุด ไม่ใช่คนที่ซื้อๆ ขายๆ แต่คือคนที่ซื้อออมในหุ้นดีแล้วไม่ขายเลยต่างหากล่ะ !! ..ไอ้ที่ยกตัวผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นมาให้ดูว่าให้ 12% ต่อปี เพื่อจะชี้ให้คุณเห็นว่าถ้าคุณออมในหุ้น 1 ล้านบาท เมื่อผ่านไป 60 ปี ..มูลค่า Port ออมในหุ้นของคุณจะกลายเป็น 1 พันล้านบาท และปันผลมหาศาล (ลองคำนวณซิครับ) -- นี่คือ มหัศจรรย์ของการออมในหุ้น แต่ถามว่าทำไมคนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ก็เพราะ หนึ่ง เขาไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้ และ สอง เขาไม่มีความอดทนไง"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

คำถามแรกของคนที่อยากออมในหุ้น


"คำถามแรกของคนที่สนใจออมในหุ้น คือ อะไร ? ...ดิฉันต้องใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่ถึงจะสามารถออมในหุ้นได้ !! ...คำตอบคือ ก็มี 1 พันบาท (ขั้นต่ำของการเปิดบัญชีออมในหุ้น) ก็สามารถเริ่มออมในหุ้นได้แล้ว ..การออมในหุ้นก็เหมือนการออมในเงินฝาก แต่นี่เราซื้อหุ้นมาออมแทนการฝากเงิน ซึ่งความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ เงินฝากถ้าเราวางไว้ในธนาคารเฉยๆ เราแทบไม่ได้ดอกเบี้ย แต่ถ้าเราเอาเงินนั้นซื้อหุ้นแล้วเก็บออมไว้เราจะได้ปันผล(ปันผลของหุ้น ให้สูงกว่าดอกเบี้ย แถมในระยะยาวเมื่อบริษัทโตขึ้น ปันผลก็ยิ่งมากขึ้น ราคาหุ้นสุดท้ายก็โตไปเรื่อยๆ มันคือได้สองเด้งเลย) ซึ่งปัญหาที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ออมในหุ้นคือ เขามัวแต่มองการแกว่งของราคาทำให้จิตใจหวั่นไหว เพราะบางจังหวะหุ้นอาจขึ้นลงเกิน 50% เลยก็ได้ แต่ข้อที่ควรยึดมั่นคือ เราต้องชัดเจนในวัตถุประสงค์ว่า เงินก้อนนี้จะทำเพื่ออะไร (จะเก็งกำไรซื้อมาขายไป หรือ จะออมในหุ้น) ...ดังนั้นถ้าจะออมในหุ้นต้องไม่ขายเลย แล้วมองแต่ปันผล สุดท้ายมันก็โตเหมือนราคาที่ดิน ที่ยิ่งนานราคาที่ดินก็ขึ้นเป็นร้อยเท่า พันเท่า -- จะเห็นได้ว่า มันไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงินมาก เพียงแต่คนออมต้องใส่เงินออมอย่างสม่ำเสมอ สร้างวินัยเหมือนออมเงินนั่นแหละครับ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

Thursday, January 9, 2014

แฉกลลวงของการออมในหุ้น เรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้บอกคุณหรอกนะ

วันนี้นักแกะรอยหยักอย่างผม จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับศาสตร์ ของ "จิต" ...คือ จิตที่เข้าใจ จะสร้างความมั่งคั่ง โดยที่เราแทบไม่ต้องเหนื่อย ... ผมไม่ได้โม้นะ ...คนรวยจากความเข้าใจ เป็นการรวยชั้นสูง ซึ่งผู้รวยด้วยวิธีนี้ มักจะรักษาความรวยนั้นๆ ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย ... โอ้ว -- YES!!
เรามักเคยได้ยินแต่ "การออมในธนาคาร".. ก็ใช่ เพราะการออมในธนาคาร มันไม่ซับซ้อน ไม่ได้ต้องใช้ความเข้าใจอะไรมากมาย คือ เอาเงิน "หนึ่งก้อน" เอาไปฝากไว้ที่ธนาคาร ...พอผ่านไปหนึ่งปี ก็ได้รับผลตอบแทนซึ่งเป็น "ดอกเบี้ยเงินฝาก" ...ส่วนเงินต้นก็ยังอยู่เท่าเดิมทุกประการ ..."โอ๊ว!! แม่เจ้า ดีสุดยอด เงินต้นเท่าเดิมเลย แถมได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยอีกด้วย" (สมัยก่อน ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเงินเฟ้อ ..ก็การที่แต่ละปี ข้าวครอง ค่าครองชีพ จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ...เงินเฟ้อก็คือ ศัตรูของเงินฝาก เพราะจำนวนเงินต้นมันเท่าเดิม แต่มูลค่ามันลดลงอย่างต่อเนื่อง ...ศัตรูของเงินเฟ้อก็คือ เงินฝาก และจริงๆ เราไม่ค่อยได้คุยกันก็คือ "เพื่อนของเงินเฟ้อ" เขาคือใครล่ะ ?? .... ใช่ !! เมื่อเงินฝาก เป็นศัตรูของเงินเฟ้อ ... หากเราต้องการรักษามูลค่าของเงิน เราก็ต้องทำความรู้จัก เพื่อนของเงินเฟ้อ จริงไหมครับ..หุ หุ หุ) "เพื่อนของเงินเฟ้อ" ก็คือ "สินทรัพย์ หรือ Asset เช่น ที่ดิน , อสังหา , Commodity เช่น ทอง และ หุ้น (เพื่อนของเงินเฟ้อ คือ สิ่งของหรืออะไรก็ได้ ที่มูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา สวนทางกับเงินสด ที่มูลค่าลดลงตามกาลเวลา ...คนรวยจริงๆ ลองไปสังเกตดูครับ ว่า ไม่มีใครนั่งกอดเงินสดแล้วจะรวยได้ เพราะมูลค่ามันมีแต่ลดลง ...คนที่ออมเงินไว้ใน สินทรัพย์(เพื่อนเงินเฟ้อ) จึงมีโอกาสรวยมากกว่า ในระยะยาว!!" จริงๆ การออมเงินในธนาคาร เป็นเรื่องดี ในอดีต ที่ผลตอบแทน "ดอกเบี้ย" มันสูง ...แต่เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยธนาคารมันไม่ใช่ 10% เหมือนในอดีตสมัย พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ของเรา.. "คิดง่ายๆ ถ้าผมย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อน ...ถ้าได้ดอกเบี้ย 10% จริง ..ผมคงไม่ต้องมาลงทุนให้มันเมื่อย เพราะนั่นเพียงพอแล้วที่จะรักษาให้มูลค่าของเงินสูงกว่าเงินเฟ้อที่ตามกัดกินมูลค่าของเงิน ... แต่ปัจจุบัน ดอกเบี้ยมันต่ำสุดขั้ว ถ้าเป็น Saving ปกติ ต่ำกว่า 1% ...บ้าหรือ ใส่ตู่มฝังไว้ใต้ถุนบ้าน ดีกว่าไหม...555 มาดูเรื่องการออมในหุ้น !! "มีหลายคนสงสัยว่า จะออมในหุ้นอย่างไร ในเมื่อราคาหุ้น มันแกว่งผันผวนขึ้นลง เช่นนี้"... มาดูกัน

"เห็นแล้วซี๊ต!! เพราะมันผันผวนจริงๆ... นี่คือ ราคาหุ้นปูนซิเมนต์ไทย หนึ่งในบริษัท Too Big Too Fail ของเมืองไทย ที่เติบโตตาม GDP ...นั่นแปลว่า ในระยะยาว บริษัท Too Big Too Fail เหล่านี้ จะค่อยๆโต ตาม GDP ของประเทศที่ค่อยๆโต ตามการบริโภคของคนในประเทศบวกกับเงินเฟ้อ ...ดังนั้น คิดง่ายๆเลยว่า ในภาพใหญ่หุ้นลักษณะนี้ ก็ต้องโตขึ้นเรื่อยๆ" ... สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น ลองดู "เส้นสีแดง" (เส้น Moving Average) ...ถ้าให้จินตนาการพื้นฐานของบริษัท ผมว่ามันคือ "เส้นแดง" นั่นแหละ ... ถ้าดูดีๆจะเห็นเลยว่า หุ้น มันมีการขึ้นลงเหมือน น้ำ !!! ...ขึ้นลงเป็น "รอบๆ" ...เหมือน น้ำเลย คิดดีๆ ...และที่น่าสนใจก็คือ ในทุกรอบ การขึ้น ราคาจะวิ่งขึ้นไปเลยพื้นฐาน (เพราะคนมีความโลภ) ...จากนั้น เวลาหุ้นมันลง ราคาก็จงลงต่ำกว่าพื้นฐาน (เพราะคนมีความกลัว).... แต่สุดท้าย ราคาก็จะปรับเข้ามา ที่เส้นพื้นฐานของกิจการ ซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ...ถูกต้องแล้ว!! ที่คนส่วนใหญ่เล่นหุ้นแล้วขาดทุน ก็เพราะ เขาซื้อพร้อมๆคนส่วนใหญ่ ในทุกๆรอบการขึ้น ซึ่งเป็นการซื้อที่แพงกว่ามูลค่า ตามแห่ กับฝูงชนด้วยความโลภ ตามข่าวดีอะไรก็ว่าไป ...จากนั้น เขาก็ขายพร้อมๆกับฝูงชน ที่รีบขายเพราะความกลัวจากข่าวร้าย ขายตามแห่ พร้อมๆฝูงชน -- สรุปก็คือ ซื้อแพง แล้ว ขายถูก ทุกๆ รอบ ..."ก็เจ๊งดิครับ" ถ้าเราคิดดีๆ ...ในโลกนี้ มันไม่มีอะไรที่มันสุดโต่งได้นานๆหรอกจริงไหม ...มีวิกฤต เดี๋ยวสุดท้ายมันก็ผ่านไป ... มี Bubble เศรษฐกิจบูมสุดๆ เดี่ยวมันก็ผ่านไป ...มีวิกฤตอเมริกา ยุโรป เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ... มี Bubble อีกรอบ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ... โอ๊ว!! เมื่อเข้าใจว่า ทุกอย่างมีเกิดและดับ "เกิด ดับ" -- เราไปบวชดีกว่า ...อิ อิ ไม่ถึงขนาดนั้น ...ผมเพียงอยากจะชี้ให้เห็นว่า หากเราเข้าใจ วัฎจักรของความโลภ และ ความกลัว ของมนุษย์ ที่จะทำอะไรตามแห่ พร้อมๆกัน ..นั่นคือ ความล้มเหลวของฝูงชน ...การประสบความสำเร็จจริงๆ มันอยู่แค่เอื้อม ในใจเรา ..คือ เราสามารถตัดอารมณ์ โลภ และ กลัว ออกไปได้หรือไม่ -- "ถ้าตัดได้ ..จิตคุณสูงพอที่จะเป็นคนรวย!!" ดังนั้น ถ้าเข้าใจ ..."หุ้น" ซื้อตรงไหนก็ได้ แล้วไม่ขายอีกเลย ...แค่นี้ก็รวยแล้ว ...คิดดีๆ คือ หนึ่ง หุ้นนั้นต้องเป็นหุ้นที่ Too Big Too Fail ...ในตลาดเรามีหุ้นแบบนี้มากมาย บริษัทที่มียอดขาย เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ก็แปลว่า คนต้องกินต้องใช้ สินค้าและบริการของบริษัทนั้นๆ ..แล้วถ้าเรามองเห็นว่า มันมีอนาคตที่คนต้องกินต้องใช้ต่อไป มันย่อมเติบโตไปเรื่อยๆ "แปลว่าหุ้นนี้มี Capital Gain คือ มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา" สอง หุ้นนั้นควรเป็นบริษัทที่มีกำไรต่อเนื่อง และก็ให้ปันผลอย่างต่อเนื่อง เช่น บางกิจการให้ปันผล 10% ต่อปี ..."คุณถือเฉยๆ 10 ปี ก็ได้เงินต้นคืนแล้ว ..ไม่เห็นต้องขายเลย" ผมมี Trick อยู่อีกนิดนึง ในฐานะ ที่ผมเอง ก็แบ่ง Port ส่วนใหญ่ ของตัวเอง "ออมในหุ้น" ก็คือ --- จังหวะในการซื้อ ... ใช่!! ซื้อตรงไหนก็ได้ ในเมื่อในระยะยาว ก็กำไร แต่จะดีกว่าไหม หากเราซื้อในจังหวะที่ดีขึ้น ..."ดีครับ!!" "คือ ทุกๆปี ตลาดหุ้นจะมี Grand Sales อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ... ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่ทุกปีหุ้นจะตกแรงๆ 2-3 ครั้ง ตามข่าวร้าย ... ในเวลาที่ตลาดหุ้นลงแรงๆ มันแปลว่า คนส่วนใหญ่ขายหนีตายด้วยความกลัว (หุ้นแต่ละตัวขึ้นลงตาม Demand & Supply เมื่อคนแย่งกันขายออกมาพร้อมกัน ราคาก็จะลง ก็เท่านั้นเอง) ...เราก็แค่อาศัยจังหวะนั้น เข้าไปเก็บหุ้นที่เราหมายตาไว้ ...ศัพท์ที่ผมใช้สำหรับหุ้นที่หมายตาไว้ คือ Stock Wish List -- "List ของหุ้นที่เราอยากได้ แต่เราไม่ซื้อ เราจะซื้อต่อเมื่อตลาดมี Grand Sales เท่านั้น" จริงๆ ฟังดู ไม่ยากเลยนะครับ ...มองหุ้นเหมือนสินค้าแฟชั่น ก็รอ Sales ใหญ่ ซึ่งมีทุกปี แต่ละปี ก็อย่างน้อย 2-3 ครั้ง บางปีมี Sales แรงๆ อย่างปี 2008 ..ก็ยิ่งดี ... คือ ยิ่งวิกฤตก็ ยิ่งเป็นโอกาส ... ฟังดูง่าย แต่ทำยาก เพราะคนที่ทำได้ ก็คือ คนที่จะรวยสุดๆเท่านั้นเอง ซึ่งตามสถิติ มีไม่ถึง 20% ของประเทศ "มาเป็นคน 20% นั้นด้วยกันนะครับเพื่อนๆ!!" ...เริ่มจาก แบ่งเงินหนึ่งส่วน ที่เราวางอยู่ที่ในธนาคาร ไม่ได้ใช้ ...ตัดใจเอาส่วนนั้นมาออมในหุ้น ...เริ่มทำการบ้าน จากการหา Stock Wish List ...แล้วก็รอ Grand Sales ...จากนั้นเมื่อเรามีจิตแข็งแกร่ง และ มีความเข้าใจตลาด ..ก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเงินออมในหุ้น ให้มากขึ้นเรื่อย ....สิ่งนี้แหละที่เขาเรียกว่า Money work for you ..."เงินทำงานหนักเยี่ยงทาสให้กับเรานั่นเอง" ลองทำดู ... ขอให้คุณ ทำได้ ... "ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ถ้าเรามี Passion ที่จะทำ" ...แต่การสร้างความมั่งคั่งที่ถูกต้อง ต้องเริ่มที่ Mind Set ของการลงทุนที่ถูกต้อง ...ต้องเริ่มจากการทำจริงๆ เริ่มก้าวเล็กๆ และก็ค่อยๆ เติบโต ...สู้ สู้ ครับ!!