savestock

savestock

Monday, February 24, 2014

สิ่งที่เกิดปี 2008 มันจะเกิดอีกครั้ง !!


"คนทุกคนกลัววิกฤตเศรษฐกิจเพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดขึ้นแล้วทุก Asset ที่ถืออยู่โดยเฉพาะหุ้น จะเจ๊ง !! ..จริงเหรอ ? ..ก่อนจะตอบโจทย์ตรงนั้นคุณทราบไหมว่า วิกฤตเศรษฐกิจอย่างปี 2008 ว่ามันเกิดจากอะไรจะได้รู้เมื่อไหร่จะเกิดอีกและเพราะอะไร ? ...ครับ!! วิกฤตเศรษฐกิจอย่างปี 2008 เกิดจากธนาคารและสถาบันการเงินสร้างหนี้เกินตัว เนื่องจากโลภ ..ตัวที่จุดชนวนการพังของตลาดปี 2008 ก็คือ Lehman Brother หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่สร้างหนี้ถึง 33 เท่าของเงินที่มี คิดดูละกันครับถ้าเป็นคนธรรมดามีหนี้ 1 เท่าก็ท่วมหัว โดนฟ้องล้มละลายไปแล้ว แต่นี่สร้างหนี้ 33 เท่า คือ เรียกได้ว่าถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิดจะทำให้ธนาคารขาดสภาพคล่องถึงขั้งเจ๊งได้ ..และในที่สุดปี 2008 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดเมื่อหนี้ Sub Prime เงินกู้บ้านของคนที่มีความเสี่ยงสูงเกิดปัญหาชำระหนี้ไม่ได้ ซึ่งชื่อมันก็บอกแล้วว่า Sub Prime คือ หนี้ที่ปล่อยให้คนที่เสี่ยงสูง เช่น ปล่อยให้คนตกงานซื้อบ้าน ปล่อยให้คนไม่มีรายได้ซื้อบ้าน (บ้าไหม?) ..นั่นแหละจุดเริ่มของทุกวิกฤต หนึ่ง เกิดจากความไม่ Make Sense เช่น กู้และปล่อยกู้เกินฐานะ ..สอง โลภทั้งคนให้กู้ และโลภทั้งคนกู้ -- สรุปทุกวิกฤตเจ๊งเพราะ 'ความโลภ + ไม่ Make Sense' นั่นเอง ..ดังนั้นเมื่อรู้แล้วลองหันมาดูวิธีการลงทุนของคุณ ถ้าหนึ่ง คุณหวังจะรวยเร็วจากการลงทุน แปลว่า คุณโลภแล้ว เพราะใครจะโง่ซื้อหุ้นหรือซื้ออสังหาที่แพงขึ้นตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่ Asset เหล่านี้ราคาขึ้นเร็วมากๆ ตอนตลาด bubble ยิ่งน่ากลัว เพราะมันแปลว่า คนส่วนใหญ่แห่ซื้อสินทรัพย์ที่ยอมจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ ในเวลารวดเร็ว(แต่คนส่วนใหญ่ก็แห่ซื้อขาย เสี่ยงดวงในเวลาตลาดบูมมีแต่ข่าวดีเสี่ยงมากอยู่ดี ..เพราะโลภไง!!) ..สอง ความไม่ Make Sense ถ้าคุณหวังได้กำไรจากหุ้นโดยไม่สนว่าปันผลเท่าไหร่ แปลว่าคุณหวังเก็งส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่าระหว่างที่คุณถือหุ้นเก็งกำไร จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแล้วทำให้ราคาหุ้นตกในเวลารวดเร็ว(ติดดอยระหว่างเก็งกำไร)..ตรงนี้ต่างจากคนที่ใช้เงินเย็นซื้อหุ้นที่มองปันผล เช่น ซื้อหุ้น 10 บาท ได้ปันผลปีละ 1 บาท ก็เสมือนว่าได้ 10 % ต่อปีโดยไม่ต้องสนใจการแกว่งของราคาหุ้นในระยะสั้นเลย เมื่อเวลาผ่านไปหุ้นก็ขึ้นอีกได้ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นเป็นกำไร อันนี้แหละ Make Sense และ ไม่โลภ -- ลองพิจารณาการลงทุนของคุณเองว่าเป็นอย่างไรครับ!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

No comments:

Post a Comment